Sunday, July 30, 2006

สิงหาคม กับ Season Preview

อีกไม่กี่วันเดือนสิงหาคมจะเวียนกลับมาแล้ว

ทุกๆปี หลายคนรอคอยการกลับมาของเดือนนี้ เพราะเศษเสี้ยวบางส่วนของชีวิตที่ขาดหายไปในช่วงสองสามเดือนก่อนหน้า จะได้รับการเติมเต็มอีกครั้ง

ทุกค่ำคืนของวันหยุดสุดสัปดาห์ เวลาและลมหายใจของพวกเขาเหล่านั้นจะถูกเชื่อมต่อ กับเหตุการณ์ในสังเวียนแข้งพรีเมียร์ชิพของอังกฤษ โดยมีสตูดิโอของ ESPN ในสิงคโปร์ เป็นทางผ่าน

ผมรู้สึกโหยหาถึงเกมลูกหนังพรีเมียร์ลีกของอังกฤษอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการเฝ้าติดตามชมฟุตบอลโลก 2006 แบบไร้อารมณ์ร่วม หรือเปล่า

รู้แต่ว่า การติดตามดูฟุตบอลโลกปีนี้ มันขาด passion

ไม่เหมือนกับความรู้สึกและอารมณ์ที่มีเวลาเชียร์ ทีมจากซีกสีแดงของลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ เพราะไม่มีชัยชนะของทีมไหนในฟุตบอลโลกปีนี้ ที่ทำให้ผมรู้สึกปิติ และอิ่มเอิบได้เหมือนเวลาที่ลิเวอร์พูลมีชัยในการแข่งขัน และก็ไม่มีความพ่ายแพ้ของทีมใดในฟุตบอลโลกนี้เช่นกัน ที่จะทำให้ผมรู้สึกสะใจ และสมน้ำหน้า เหมือนกับเวลาที่เห็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดปราชัย

เมื่อเดือนสิงหาคมกลับมา อารมณ์ของผม มันจะแปรปรวน อ่อนไหว ไปตามผลการแข่งขัน ของลิเวอร์พูลอีกครั้ง

ยินดีแทบบ้า เวลาหงส์แดงเล่นดี และมีชัย

อยากร้องไห้ เวลาหงส์แดงเล่นดี แต่ดันแพ้

และอยากเลิกดูบอลไปเลย เวลาที่หงส์ทั้งแพ้และเล่นห่วย

อารมณ์จะกลับไปกลับมาแบบนี้ ตลอดทั้งฤดูกาล

จวบจนเมื่อฤดูกาลฟาดแข้งปิดฉากลงในเดือนพฤษภาคมปีหน้านั่นแหละครับ ผมถึงจะได้อยู่กับ จิตที่นิ่งสงบ ไม่มีผลฟุตบอลมากระทบให้ใจต้องแกว่งไปมาแต่อย่างใด

วัฏจักรของอารมณ์คนรักบอลจะเป็นเช่นนี้ โดยทุกๆสองปีจะมีทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ๆมาแทรกในเดือนมิถุนายน เพียงเพื่อช่วยเติมเชื้อไฟให้ หัวใจยังโหยหา เดือนสิงหาคมอยู่ไม่เสื่อมคลาย

ฤดูกาล 2006/2007 ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ จะเป็นบททดสอบที่สำคัญของทีมใหญ่ทั้งสี่ ไม่ว่าจะเป็นเชลซี แมนฯ ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล และอาร์เซน่อล (อาจรวมไปถึงสเปอร์ด้วย)

สำหรับ เชลซีแล้ว ถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีนี้ คือถ้วยที่มีความสำคัญมากที่สุด ในความเห็นของผม ยิ่งกว่าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกเสียอีก

แชมป์แรกเมื่อสองปีก่อนนั้น ยุติการรอคอยตำแหน่งแชมป์ในลีกสูงสุดที่ทีมไม่เคยได้สัมผัสเลยตลอดแปดสิบกว่าปี

แชมป์ที่สองเมื่อปีก่อน แสดงให้โลกเห็นว่า พวกเขาไม่ใช่ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ ที่ใช้เงินซื้อแชมป์ได้แค่ตรั้งเดียว แล้วก็ถอยกลับไปอยู่ในที่ๆควรอยู่ นอกจากนี้ การได้แชมป์พรีเมียร์ชิพสองปีติดต่อกัน ทำให้ทีมของโชเซ่ มูรินโญ่ สามารถข่มทีมร่วมเมืองอย่าง อาร์เซน่อล ที่แม้จะได้แชมป์มาก่อน แต่ไม่เคยพิชิตแชมป์ลีกได้สองปีติดต่อกันเลย

แต่เท่านั้นยังไม่พอ

ความสำคัญของการเป็นแชมป์สามปีติดกันคือ หนึ่ง เป็นสิ่งที่เซอร์ อเล็กซ์ และแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่เคยทำได้ ไม่ว่าเซอร์ อเล็กซ์จะประสบความสำเร็จในการคุมทีมในเกาะอังกฤษมามากเพียงใด สิ่งหนึ่งที่เขาไม่สามารถทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ดทาบเกียรติยศในอดีตของลิเวอร์พูลได้ก็คือ การพิชิตแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ สามปีติดต่อกัน

สอง เชลซีเป็นทีมที่ไร้ซึ่งความโรแมนติค แม้ว่าจะได้แชมป์ลีกติดต่อกันถึงสองปีซ้อน แต่ไม่มีใครพูดถึงเชลซีแบบชื่นชม หรือให้เครดิตกับทีมในความสำเร็จที่ได้รับ สาเหตุอาจเนื่องมาจาก ชัยชนะที่ได้ในฟุตบอลลีกนั้น มาจากการวางแผนการเล่นที่หวังผลเป็นหลัก จึงทำให้รูปเกมที่ออกมาไม่น่าตื่นเต้น ไม่ชวนติดตาม ประหนึ่งว่าผลการแข่งขันนั้น "สั่งได้"

มูรินโญ่คงน้อยเนื้อต่ำใจในความไร้เสน่ห์ของเชลซีพอสมควร ถึงกับออกปากว่า ในวันที่เชลซีฉลองแชมป์ บนหน้าหนังสือพิมพ์กีฬากลับวางภาพของเชลซีไว้ตรงมุมด้านล่าง เปิดพื้นที่ส่วนใหญ่ให้กับชัยชนะของลิเวอร์พูลในศึกเอฟเอคัพ

ดังนั้น หนทางเดียวที่จะนำความโรแมนติคมาสู่เชลซี และทำให้ชื่อเชลซีถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ลูกหนังอังกฤษได้ตลอดไปคือ ต้องเป็นแชมป์สมัยที่สามติดต่อกันให้ได้

จะเห็นได้ว่า เชลซีลงทุนซื้อนักเตะระดับโลกพร้อมๆกันหลายคนมาเสริมทัพ ทั้งๆที่กองกำลังที่มีอยู่แล้ว ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการป้องกันแชมป์สมัยที่สาม ผมเชื่อว่า การซื้อบัลลัค หรือเชพเชงโก้ ไม่ใช่การดำเนินการเพื่อเหตุผลทางการตลาด แต่เป็นเพราะต้องการความชัวร์ ในการจบสกอร์ และสามแต้ม ในฟุตบอลลีกมากกว่า

ปฏิบัติการล่าฝันของเชลซีจะเป็นจริงได้หรือไม่ ก็คงขึ้นอยู่กับว่า สามสี่ทีมที่เอ่ยชื่อมาข้างต้นจะมีปัญญาขัดขวางเชลซี ได้แค่ไหน

ในฐานะรองแชมป์ของปีที่แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด น่าจะเป็นทีมที่มีโอกาสสูงที่สุดในการไล่บี้กับเชลซี แต่มาถึงวันนี้ แมนฯ ยูฯได้เพียง ไมเคิล คาร์ริค มาเสริมแดนกลาง และขายศูนย์หน้าดาวซัลโวประจำทีมอย่าง รุด ฟานนิสเตลรอย ออกไป

หากจะแย่งแชมป์กับเชลซีด้วยการเสริมทัพแค่นี้ละก็ พูดแบบนายกฯ ตอนตอบโต้ ปชป ที่ขอ 200 เสียงสมัยเลือกตั้งทั่วไปปี 47 ได้เลยว่า "รอชาติหน้าบ่ายๆ"

ของที่มีอยู่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้ดีเหมือนปีที่แล้วนะครับ ไรอัน กิ๊กส์ พอล สโคลล์ แกรี่ เนวิลล์ แล้วยังมี โซลชาอีก พวกนี้คือยอดขุนพลแห่งวันเวลาอันเกรียงไกรในอดีต แต่ปัจจุบันนั้น เขาเหล่านี้ไม่อยู่ในฐานะที่จะขับเคลื่อนทีมไล่ล่าเชลซีได้

ไรอัน กิ๊กส์ ผู้ได้รับฉายา "ปีกพ่อมด" จากลีลาลากเลี้อยในอดีต ที่สามารถแหวกฝ่าแนวรับของทุกทีมในโลก ได้ดุจร่ายมนต์วิเศษ มาในวันนี้ มนต์พ่อมดที่ กิ๊กส์ใช้ประจำในสนามแข่งคือ วิชาหายตัว ที่เสกให้เขาหายไปจากเกมอย่างไร้ร่องรอย

นักเตะคู่บารมีเฟอร์กี้เหล่านี้ สั่งสมประสอบการณ์ในสังเวียนแข้งมากว่า สิบปี สิ่งที่อยู่ในคลังสมองของพวกเขากลับมีความสำคัญต่อทีมในวันนี้ น้อยกว่าพลกำลัง และความหิวกระหายในความสำเร็จของนักเตะรุ่นหนุ่มกว่า น่าเสียดายที่ในทีม แมนฯ ยูฯ นั้นมีเพียง เวย์น รูนี่ย์เท่านั้นที่เป็นผีรุ่นใหม่ที่พอจะพึ่งพาอาศัยได้เพียงผู้เดียว

เชื่อเหลือเกินว่า ในปีนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะไม่มีเมเจอร์โทรฟี่มาประดับชั้นวาง และปีนี้ จะเป็นปีสุดท้ายที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันทำหน้าที่กุนซือของทีม

สำหรับสองทีมร่วมเมืองลอนดอน อย่างอาร์เซน่อล และสเปอร์นั้น ต่างอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ผลัดใบ ถ่ายเลือด ทีมปืนใหญ่ที่ย้ายบ้านจากไฮบิวรี่ มาสู่อามิเรตต์ สเตเดี้ยม ในฤดูกาลนี้ กำลังเข้าสู่ยุค Post Bergkamp-Campbell หลังจากที่ผ่านยุค Post Viera มาโดยมีตำแหน่งรองแชมป์ยุโรปมาปลอบใจ

ในขณะที่สเปอร์ กำลังเร่งเสริมทัพ ผ่าตัดทีมเป็นการใหญ่ เชื่อว่า กระบวนการค้นหาร่างใหม่ของสเปอร์จะยังคงดำเนินต่อไป ภายหลังจากได้งบประมาณชอปปิ้ง มาเพิ่มภายหลังจากการขายคาร์ริค ให้แมนฯ ยูฯ ในราคาที่สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์

ทั้งสองทีมนี้ คงไม่อยู่ในฐานะที่จะขัดขวางความก้าวหน้าของเชลซีในฤดูกาลนี้ได้ แม้ว่าอาร์เซน่อลจะดูมีโอกาสมากที่สุด ก็ตาม (ขอทำนายไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าแมนฯ ยูฯ ไม่มีการเสริมทัพที่ดีพอ อันดับในลีกเมื่อจบฤดูกาลจะอยู่หลังอาร์เซน่อล และนั่นหมายความว่า ในฤดูกาลหน้า แมนณ ยูฯต้องไปเล่นรอบคัดเลือก แชมเปี้ยนส์ลีก)

เหลืออีกหนึ่งทีม ที่ผมคาดว่าจะบดกับเชลซีจนถึงวันสุดท้ายของฤดูกาล และมีสิทธิสูงที่จะดับฝันของมูรินโญ่ ขอเก็บเอาไว้คราวหน้าครับ

1 Comments:

At 1:07 AM , Blogger pin poramet said...

ขอแก้ข่าวหน่อยครับ

ผีแดงเคยได้แชมป์สามฤดูกาลติดนะครับ ฤดูกาล 1999-2000, 2000-2001, 2001-2002

 

Post a Comment

Subscribe to Post Comments [Atom]

<< Home