Monday, August 07, 2006

Season Preview Part II

ไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ผมพยายามสถาปนาตัวเองเป็นกูรูลูกหนังบน Information Superhighway ผมก็ต้องประสบกับเหตุการณ์หน้าแตก สองเหตุการณ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน

เหตุการณ์แรกคือ ในบทความก่อนหน้านี้ ผมได้เขียนลงไปว่า แมนฯ ยูไนเต็ดยังไม่อาจทาบความยิ่งใหญ่ของหงส์แดงในอดีตได้ เพราะไม่เคยเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก สามปีซ้อน ซึ่งข้อความนี้ทำให้คุณปิ่น แฟนแมนฯยูฯ ต้องออกมาช่วยแก้ไขข้อมูลว่า แท้ที่จริงแล้วในช่วงสามฤดูกาลระหว่าง 1999 2000 และ 2001 นั้น แชมป์พรีเมียร์ลีกไม่เคยหลุดออกจากรั้วโอลด์ แทรฟฟอร์ดเลย นั่นหมายความว่า แมนฯ ยูฯ ได้เคยฟันสามแชมป์ไปแล้วเรียบร้อย

ไม่รู้เป็นเพราะอคติที่มีต่อทีมผีทะเลนี้หรืออย่างไรที่บดบังสายตาผม มิให้เหลียวดูสถิติของทีมก่อนลงมือเขียน

เหตุการณ์ที่สองคือผลการแข่งขันฟุตบอลอุ่นเครื่องของทีมที่ผมได้ทิ้งท้ายไว้ในบทความก่อนหน้า ว่าเป็นทีมที่มีโอกาสมากที่สุด ที่จะทำให้ทั้ง เชลซี ผีแดงและปืนใหญ่ อกหัก ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอบครองแต่เพียงผู้เดียว

ไมนซ์ !..... Who is Mainz?

ก่อนหน้านี้ผมรู้จักแต่ ไฮนซ์ (Hainz from ฟิลาเดลเฟีย) Ketchup เนื้อข้นสีแดงฉาน ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ไมนซ์ยังอยู่ในบุนเดสลีกา

แต่เมื่อ ไมนซ์มาอุ่นเครื่องกับ หงส์แดงทีมที่ผมรู้จักดี หงส์แดงของผมเลยเปลี่ยนสภาพเป็น Hainz เพราะโดนไมนซ์ยำไป 5-0

ใช่ครับ ห้าประตูต่อศูนย์

โดนยิงไส้ทะลัก เลือดออกมานองเต็มสนามเหมือนขวด Ketchup แตกยังไงยังงั้น

นี่ขนาดอุ่นกับทีมระดับโนเนมนะครับ ไม่ได้ไปร่วมทัวร์นาเม้นท์อย่าง อัมสเตอร์ดัม หรือทัวร์อเมริกานะ

ความเชื่อมั่นในทีมและความหวังที่จะเห็นทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศของบรรดาสาวกหงส์แดงได้ถูกทดสอบอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้เพลงประจำทีมนั่นหรือเปล่า ที่มาแนวเราไม่ทิ้งกันแม้ยามยากลำบาก หรือที่ร้องกันเป็นภาษาอังกฤษเป็นใจความว่า “พวกเราจะไม่เดินกันตามลำพัง”

แบบว่านานๆก้อมาลองใจกันดูซักนิดว่า ยังเดินด้วยกันต่อไปจิงอะป่าว

มาถามผมตอนนี้ ว่ายังยืนยันเหมือนเดิมหรือไม่ว่า หงส์แดงจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกปีนี้ไปครอง ผมขอยืนยันเหมือนเดิมครับ แม้จะด้วยน้ำเสียงที่ลดความหนักแน่นลงไปจากเดิมกว่าครึ่ง

เหตุผลที่ผมยังเชื่อมั่นเหมือนเดิมไม่มีอะไรมากหรอกครับ สองปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลเป็นเสมือนทีมที่ฟ้าลิขิตให้มาเป็นมารขวางความสำเร็จแบบสุดๆของเชลซี

ถ้าไม่ใช่เพราะลูกยิงลูกนั้นของ หลุยส์ การ์เซีย มูรินโญ่อาจจะได้ฟาดสามแชมป์ในปีแรกของการคุมทีม (แชมป์ลีก ลีกคัพ และยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก)

และก็เป็นลิเวอร์พูลอีกเช่นกันที่ขัดขวางมิให้ เชลซีได้ดับเบิ้ลแชมป์(แชมป์ลีก ควบเอฟเอ คัพ) ในฤดูกาลที่ผ่านมา (คุณคิดว่า เวสต์แฮม จะชนะเชลซีในนัดชิงได้หรือครับ)

ผมได้ยกให้เชลซีเป็นทีมที่ไร้ความโรแมนติคที่สุด และในเวลาเดียวกัน ผมก็ขอยกให้หงส์แดงของผมเป็นทีมที่โรแมนติคสุดๆ เหมือนกัน

ลองนึกดูสิครับว่า การคว้าสองแชมป์ในสองปีที่ผ่านมาของหงส์แดง สร้างตำนานให้เป็นที่กล่าวขานและจดจำกันได้ขนาดไหน

โดนยิงนำก่อน ถึงสามลูกในครึ่งแรก และกลับมาเอาคืนได้สามลูกในช่วงเวลาหกนาทีของครึ่งหลัง ด้วยสปิริต Never Say Die ที่ขาดหายไปจากนัดชิงยูโรเปี้ยนคัพมาเป็นเวลาหลายสิบปี ภาพความทรงจำของแฟนบอลที่ยืนเคียงข้างกับทีม แม้ความหวังจะริบหรี่เพียงใดก็ตาม เสียงร้องเพลง You’ll Never Walk Alone ยังดังกระหึ่มราตรีของอิสตันบูลไม่ขาดหาย ตำนานนัดชิงบอลยุโรปบทนี้จะถูกจารึกไว้ตราบนานเท่านาน

เช่นเดียวกันกับ การพลิกฟื้นจากสถานการณ์เจียนตายในเกมเอฟเอคัพนัดชิงกับเวสต์แฮม ที่กัปตันแฟนตาสติค วอลเล่ย์ยิงลูกมหัศจรรย์จากนอกเขตโทษ เสียบโคนเสาก่อนที่กรรมการจะเป่านกหวีดยาวปิดเกมการแข่งขัน 90 นาทีเพียงไม่นาน ช่วยให้สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 3-3 จนต้องต่อเวลาและดวลจุดโทษ ซ้ำรอยเหตุการณ์ในอิสตันบูลเมื่อปีก่อนหน้าไม่มีผิด เอฟเอคัพนัดชิงปีที่ผ่านมาจึงถูกกล่าวขานว่า เป็นนัดชิงที่สนุกตื่นเต้นที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา (เชื่อว่า ถ้าเป็นทีมในระดับท็อปโฟร์ทีมอื่นมาเจอกับเวสต์แฮมในวันนั้น เกมคงไม่สูสีดูสนุกขนาดนี้หรอกครับ)

สองปีที่ผ่านมา ความยิ่งใหญ่แต่ไร้โรแมนติคของเชลซี จึงถูกกลบด้วยความสำเร็จของลิเวอร์พูลที่แม้จะดูด้อยกว่า แต่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวให้คนกล่าวขานถึง

ไม่แปลกใจถ้าใครจะบอกว่า บรรดาขุนพลเชลซี และ พณฯ มูรินโญ่ เกลียดหงส์แดงเข้าไส้

ความรักความแค้นระหว่างเชลซี และลิเวอร์พูลกำลังดำเนินมาสู่บทสรุปของมหากาพย์ไตรภาค เมื่อราฟาเอล เบนิเตซจัดการปรับจูนทีมหงส์แดงให้สามารถลดช่องว่างของแต้มในลีก จากที่เคยถูกเชลซีท้ิงห่างถึงสามสิบกว่าแต้มเมื่อสองปีก่อน ให้เหลือเพียงครึ่งเดียวในฤดูกาลที่ผ่านมา

ลิเวอร์พูลพัฒนารูปเกมให้มีประสิทธิภาพและความน่ากลัวมากขึ้นกว่าในเมื่อสองปีก่อน แต่ยังคงหาความแน่นอน สม่ำเสมอไม่พบ อีกทั้งในแดนหน้ายังคงทื่อ และกระสุนด้านเหมือนเดิม

การเสริมทีมของเบนิเตซ ในฤดูร้อนนี้ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด เพิ่ม เบลามี่ ในแดนหน้า และเพนแนนท์ ทางริมเส้นด้านขวา

ดูๆแล้วหงส์แดงในปีนี้มีอาวุธครบเครื่องกว่าปีที่แล้วมาก หากต่อยอดความสำเร็จในการพัฒนาทีมจากปีที่แล้วได้ ผมเชื่อว่า ปีนี้ เก็บ 6 แต้มจากทั้ง แมนฯ ยูฯ และอาร์เซน่อลได้สบายๆ (รวมสองทีม 12 แต้มนะครับ ไม่ใช่สองทีมหกแต้ม)

และหากหงส์แดงได้พรสองประการจากพระเจ้ามาช่วยด้วยคือ หนึ่ง ขอให้ขุนพลเชลซีประสบปัญหาอาการบาดเจ็บและฟอร์มตกบ้าง เพราะสองปีที่ผ่านมา แลมป์ เทอร์รี่ และเช็ก แทบไม่เคยเจ็ํบ หรือมีเหตุทำให้ต้องห่างสนามไปนานๆเลย เราจึงอยากเห็นพวกเขาเจ็บบ้าง และถ้าจะให้ดี เจ็บกันหลายๆคนหน่อย เพราะในทีมเชลซีมันมีตัวตายตัวแทนเยอะ พวกสำรองก็ไม่ใช่จะขี้เหร่ อย่างน้อยก็เก่งกว่าพวก ตราโอเร่ หรือดิเยา แน่ๆ

พรข้อที่สองคือ ขอให้ชนะเชลซีได้มากกว่า ปีละครั้ง สองปีที่ผ่านมาเหมือนกับว่าหงส์ได้รับโควต้ามาปีละครั้ง หงส์เลยเลือกใช้ในวาระที่สร้างความเจ็บแสบให้กับเชลซีได้มากที่สุด นั่นคือชนะในการดวลแข้งรอบรองชนะเลิศบอลถ้วยทั้งสองปี (ในปีนี้ขอให้หงส์ชนะเชลซีในบอลลีกบ้าง อย่าช่วยแจกหกแต้มเหมือนสองปีที่ผ่านมาอีกนะ)

ยังไม่ทราบเลยว่าพรทั้งสองข้อจะได้รับอนุมัติจากพระเจ้าหรือไม่ ผมจึงได้แต่หวังว่า หงส์คงไม่เลือกใช้โควต้าที่มีอยู่ในเกมคอมมิวนิตี้ ชิวด์กับเชลซีในวันอาทิตย์นี้ซะก่อน บอลลีกกำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่วัน รอเอาไปใช้ตอนเจอกันในลีกจะมีประโยชน์กว่านะครับ ฟันธงเลยอาทิตย์นี้ เชลซี 3 ลิเวอร์พูล 2

Sunday, July 30, 2006

สิงหาคม กับ Season Preview

อีกไม่กี่วันเดือนสิงหาคมจะเวียนกลับมาแล้ว

ทุกๆปี หลายคนรอคอยการกลับมาของเดือนนี้ เพราะเศษเสี้ยวบางส่วนของชีวิตที่ขาดหายไปในช่วงสองสามเดือนก่อนหน้า จะได้รับการเติมเต็มอีกครั้ง

ทุกค่ำคืนของวันหยุดสุดสัปดาห์ เวลาและลมหายใจของพวกเขาเหล่านั้นจะถูกเชื่อมต่อ กับเหตุการณ์ในสังเวียนแข้งพรีเมียร์ชิพของอังกฤษ โดยมีสตูดิโอของ ESPN ในสิงคโปร์ เป็นทางผ่าน

ผมรู้สึกโหยหาถึงเกมลูกหนังพรีเมียร์ลีกของอังกฤษอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการเฝ้าติดตามชมฟุตบอลโลก 2006 แบบไร้อารมณ์ร่วม หรือเปล่า

รู้แต่ว่า การติดตามดูฟุตบอลโลกปีนี้ มันขาด passion

ไม่เหมือนกับความรู้สึกและอารมณ์ที่มีเวลาเชียร์ ทีมจากซีกสีแดงของลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ เพราะไม่มีชัยชนะของทีมไหนในฟุตบอลโลกปีนี้ ที่ทำให้ผมรู้สึกปิติ และอิ่มเอิบได้เหมือนเวลาที่ลิเวอร์พูลมีชัยในการแข่งขัน และก็ไม่มีความพ่ายแพ้ของทีมใดในฟุตบอลโลกนี้เช่นกัน ที่จะทำให้ผมรู้สึกสะใจ และสมน้ำหน้า เหมือนกับเวลาที่เห็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดปราชัย

เมื่อเดือนสิงหาคมกลับมา อารมณ์ของผม มันจะแปรปรวน อ่อนไหว ไปตามผลการแข่งขัน ของลิเวอร์พูลอีกครั้ง

ยินดีแทบบ้า เวลาหงส์แดงเล่นดี และมีชัย

อยากร้องไห้ เวลาหงส์แดงเล่นดี แต่ดันแพ้

และอยากเลิกดูบอลไปเลย เวลาที่หงส์ทั้งแพ้และเล่นห่วย

อารมณ์จะกลับไปกลับมาแบบนี้ ตลอดทั้งฤดูกาล

จวบจนเมื่อฤดูกาลฟาดแข้งปิดฉากลงในเดือนพฤษภาคมปีหน้านั่นแหละครับ ผมถึงจะได้อยู่กับ จิตที่นิ่งสงบ ไม่มีผลฟุตบอลมากระทบให้ใจต้องแกว่งไปมาแต่อย่างใด

วัฏจักรของอารมณ์คนรักบอลจะเป็นเช่นนี้ โดยทุกๆสองปีจะมีทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ๆมาแทรกในเดือนมิถุนายน เพียงเพื่อช่วยเติมเชื้อไฟให้ หัวใจยังโหยหา เดือนสิงหาคมอยู่ไม่เสื่อมคลาย

ฤดูกาล 2006/2007 ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ จะเป็นบททดสอบที่สำคัญของทีมใหญ่ทั้งสี่ ไม่ว่าจะเป็นเชลซี แมนฯ ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล และอาร์เซน่อล (อาจรวมไปถึงสเปอร์ด้วย)

สำหรับ เชลซีแล้ว ถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีนี้ คือถ้วยที่มีความสำคัญมากที่สุด ในความเห็นของผม ยิ่งกว่าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกเสียอีก

แชมป์แรกเมื่อสองปีก่อนนั้น ยุติการรอคอยตำแหน่งแชมป์ในลีกสูงสุดที่ทีมไม่เคยได้สัมผัสเลยตลอดแปดสิบกว่าปี

แชมป์ที่สองเมื่อปีก่อน แสดงให้โลกเห็นว่า พวกเขาไม่ใช่ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ ที่ใช้เงินซื้อแชมป์ได้แค่ตรั้งเดียว แล้วก็ถอยกลับไปอยู่ในที่ๆควรอยู่ นอกจากนี้ การได้แชมป์พรีเมียร์ชิพสองปีติดต่อกัน ทำให้ทีมของโชเซ่ มูรินโญ่ สามารถข่มทีมร่วมเมืองอย่าง อาร์เซน่อล ที่แม้จะได้แชมป์มาก่อน แต่ไม่เคยพิชิตแชมป์ลีกได้สองปีติดต่อกันเลย

แต่เท่านั้นยังไม่พอ

ความสำคัญของการเป็นแชมป์สามปีติดกันคือ หนึ่ง เป็นสิ่งที่เซอร์ อเล็กซ์ และแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่เคยทำได้ ไม่ว่าเซอร์ อเล็กซ์จะประสบความสำเร็จในการคุมทีมในเกาะอังกฤษมามากเพียงใด สิ่งหนึ่งที่เขาไม่สามารถทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ดทาบเกียรติยศในอดีตของลิเวอร์พูลได้ก็คือ การพิชิตแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ สามปีติดต่อกัน

สอง เชลซีเป็นทีมที่ไร้ซึ่งความโรแมนติค แม้ว่าจะได้แชมป์ลีกติดต่อกันถึงสองปีซ้อน แต่ไม่มีใครพูดถึงเชลซีแบบชื่นชม หรือให้เครดิตกับทีมในความสำเร็จที่ได้รับ สาเหตุอาจเนื่องมาจาก ชัยชนะที่ได้ในฟุตบอลลีกนั้น มาจากการวางแผนการเล่นที่หวังผลเป็นหลัก จึงทำให้รูปเกมที่ออกมาไม่น่าตื่นเต้น ไม่ชวนติดตาม ประหนึ่งว่าผลการแข่งขันนั้น "สั่งได้"

มูรินโญ่คงน้อยเนื้อต่ำใจในความไร้เสน่ห์ของเชลซีพอสมควร ถึงกับออกปากว่า ในวันที่เชลซีฉลองแชมป์ บนหน้าหนังสือพิมพ์กีฬากลับวางภาพของเชลซีไว้ตรงมุมด้านล่าง เปิดพื้นที่ส่วนใหญ่ให้กับชัยชนะของลิเวอร์พูลในศึกเอฟเอคัพ

ดังนั้น หนทางเดียวที่จะนำความโรแมนติคมาสู่เชลซี และทำให้ชื่อเชลซีถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ลูกหนังอังกฤษได้ตลอดไปคือ ต้องเป็นแชมป์สมัยที่สามติดต่อกันให้ได้

จะเห็นได้ว่า เชลซีลงทุนซื้อนักเตะระดับโลกพร้อมๆกันหลายคนมาเสริมทัพ ทั้งๆที่กองกำลังที่มีอยู่แล้ว ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการป้องกันแชมป์สมัยที่สาม ผมเชื่อว่า การซื้อบัลลัค หรือเชพเชงโก้ ไม่ใช่การดำเนินการเพื่อเหตุผลทางการตลาด แต่เป็นเพราะต้องการความชัวร์ ในการจบสกอร์ และสามแต้ม ในฟุตบอลลีกมากกว่า

ปฏิบัติการล่าฝันของเชลซีจะเป็นจริงได้หรือไม่ ก็คงขึ้นอยู่กับว่า สามสี่ทีมที่เอ่ยชื่อมาข้างต้นจะมีปัญญาขัดขวางเชลซี ได้แค่ไหน

ในฐานะรองแชมป์ของปีที่แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด น่าจะเป็นทีมที่มีโอกาสสูงที่สุดในการไล่บี้กับเชลซี แต่มาถึงวันนี้ แมนฯ ยูฯได้เพียง ไมเคิล คาร์ริค มาเสริมแดนกลาง และขายศูนย์หน้าดาวซัลโวประจำทีมอย่าง รุด ฟานนิสเตลรอย ออกไป

หากจะแย่งแชมป์กับเชลซีด้วยการเสริมทัพแค่นี้ละก็ พูดแบบนายกฯ ตอนตอบโต้ ปชป ที่ขอ 200 เสียงสมัยเลือกตั้งทั่วไปปี 47 ได้เลยว่า "รอชาติหน้าบ่ายๆ"

ของที่มีอยู่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้ดีเหมือนปีที่แล้วนะครับ ไรอัน กิ๊กส์ พอล สโคลล์ แกรี่ เนวิลล์ แล้วยังมี โซลชาอีก พวกนี้คือยอดขุนพลแห่งวันเวลาอันเกรียงไกรในอดีต แต่ปัจจุบันนั้น เขาเหล่านี้ไม่อยู่ในฐานะที่จะขับเคลื่อนทีมไล่ล่าเชลซีได้

ไรอัน กิ๊กส์ ผู้ได้รับฉายา "ปีกพ่อมด" จากลีลาลากเลี้อยในอดีต ที่สามารถแหวกฝ่าแนวรับของทุกทีมในโลก ได้ดุจร่ายมนต์วิเศษ มาในวันนี้ มนต์พ่อมดที่ กิ๊กส์ใช้ประจำในสนามแข่งคือ วิชาหายตัว ที่เสกให้เขาหายไปจากเกมอย่างไร้ร่องรอย

นักเตะคู่บารมีเฟอร์กี้เหล่านี้ สั่งสมประสอบการณ์ในสังเวียนแข้งมากว่า สิบปี สิ่งที่อยู่ในคลังสมองของพวกเขากลับมีความสำคัญต่อทีมในวันนี้ น้อยกว่าพลกำลัง และความหิวกระหายในความสำเร็จของนักเตะรุ่นหนุ่มกว่า น่าเสียดายที่ในทีม แมนฯ ยูฯ นั้นมีเพียง เวย์น รูนี่ย์เท่านั้นที่เป็นผีรุ่นใหม่ที่พอจะพึ่งพาอาศัยได้เพียงผู้เดียว

เชื่อเหลือเกินว่า ในปีนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะไม่มีเมเจอร์โทรฟี่มาประดับชั้นวาง และปีนี้ จะเป็นปีสุดท้ายที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันทำหน้าที่กุนซือของทีม

สำหรับสองทีมร่วมเมืองลอนดอน อย่างอาร์เซน่อล และสเปอร์นั้น ต่างอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ผลัดใบ ถ่ายเลือด ทีมปืนใหญ่ที่ย้ายบ้านจากไฮบิวรี่ มาสู่อามิเรตต์ สเตเดี้ยม ในฤดูกาลนี้ กำลังเข้าสู่ยุค Post Bergkamp-Campbell หลังจากที่ผ่านยุค Post Viera มาโดยมีตำแหน่งรองแชมป์ยุโรปมาปลอบใจ

ในขณะที่สเปอร์ กำลังเร่งเสริมทัพ ผ่าตัดทีมเป็นการใหญ่ เชื่อว่า กระบวนการค้นหาร่างใหม่ของสเปอร์จะยังคงดำเนินต่อไป ภายหลังจากได้งบประมาณชอปปิ้ง มาเพิ่มภายหลังจากการขายคาร์ริค ให้แมนฯ ยูฯ ในราคาที่สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์

ทั้งสองทีมนี้ คงไม่อยู่ในฐานะที่จะขัดขวางความก้าวหน้าของเชลซีในฤดูกาลนี้ได้ แม้ว่าอาร์เซน่อลจะดูมีโอกาสมากที่สุด ก็ตาม (ขอทำนายไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าแมนฯ ยูฯ ไม่มีการเสริมทัพที่ดีพอ อันดับในลีกเมื่อจบฤดูกาลจะอยู่หลังอาร์เซน่อล และนั่นหมายความว่า ในฤดูกาลหน้า แมนณ ยูฯต้องไปเล่นรอบคัดเลือก แชมเปี้ยนส์ลีก)

เหลืออีกหนึ่งทีม ที่ผมคาดว่าจะบดกับเชลซีจนถึงวันสุดท้ายของฤดูกาล และมีสิทธิสูงที่จะดับฝันของมูรินโญ่ ขอเก็บเอาไว้คราวหน้าครับ

Monday, May 29, 2006

My Brick

เมื่อวันก่อน เผลอตัวไปสารภาพกลางที่สาธารณะ ถึง My newly acquired taste

แบบว่า เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนเสพติด Design ไปแล้ว (หรือว่าเป็นมานานแล้วก้อไม่รู้)

เห็นข้าวของเครื่องใช้ที่ออกแบบสวยๆแปลกๆ แล้วมันอดใจไม่ค่อยได้

เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง ผมพลัดหลงไปในร้านแอปเปิ้ลร้านหนึ่ง เจอกล่องนี้เข้าครับ



ฮาร์ดดิสก์ของ Lacie ความจุ 300 GB รุ่น Brick สีน้ำเงิน

ออกแบบโดย Ora-Ito (ในฐานะคนที่มีอาชีพเป็นเรือจ้างและอยู่นอกวงการออกแบบผลิตภัณฑ์ บอกได้ว่า ไม่ทราบจริงๆว่า นักออกแบบผู้นี้มีผลงานอะไรอีกบ้าง เท่าที่เปิดหาจาก Google พวกบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Heineken Adidas ฯลฯ ต่างเคยว่าจ้างบริษัทของเขาออกแบบงานมาแล้วทั้งนั้น ใครรู้จักช่วยสงเคราะห์ให้ความรู้บ้างก้อดีนะครับ)

ตาลุกเลยครับ

ผมเคยเห็นในหนังสือ แมกาซีนมาก่อน แต่ไม่นึกว่าจะมีใครเอามาขาย

ทำไมผมถึงตื่นเต้นกับมันหรือครับ ดูภาพนี้สิครับ



ภาพนี้เป็นการนำ Brick สามตัวมาเรียงต่อกัน มองเผินๆนึกว่าตัว Lego สามชิ้น สีแดง ขาว และน้ำเงิน

ครับเขาจงใจออกแบบให้เหมือนตัว Lego นั่นแหละ

ออกแบบมาได้น่าใช้มากเลยนะครับ ผมอดรนทนไม่ได้ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อมาทันที (จริงๆต้องวิ่งไปกด ATM ด้วยครับ ปกติไม่พกเงินสดมากพอที่จะซื้อ Harddisk 300GB หรอกครับ)

พอกลับมาบ้าน ผมก็จัดการต่อของเล่นใหม่กับโน็ตบุ๊คคู่ชีพทันที จัดการถ่ายโอน ไฟล์เพลง เอกสารต่างๆ รวมทั้งรูปภาพ (รู้สึกว่าจะมี folder หนังน้องแอนนา ด้วยนะ)

โน้ตบุ็คผมตัวเบาลงเยอะ ส่วนผมกระเป๋าเงินก็เบาลงไปด้วยเหมือนกัน

รูนี่ย์กับโอกาสของทีมชาติอังกฤษ

อีกไม่ถึงสิบวันฟุตบอลโลกครั้งที่ 18 จะได้ฤกษ์ระเบิดแข้งขึ้นที่ ประเทศเยอรมันนีแล้ว แม้ว่าทีมชาติไทยจะไม่ได้ไปร่วมแข่งในการแข่งขันรอบสุดท้ายนี้ด้วย แต่นั่นมิใช่อุปสรรคที่จะทำให้คอบอลชาวไทยขาดอรรถรสในการร่วมชมมหกรรมกีฬาครั้งยิ่งใหญ่ (ที่เวียนมาให้ชมทางจอโทรทัศน์แบบไม่มีโฆษณาคั่นอีกครั้ง)

หากจะพิจารณาถึงทีมในดวงใจของชาวไทยจากบรรดา 32 ทีมที่ได้เข้าร่วมแข่งในรอบสุดท้ายนี้ ทีมชาติอังกฤษนั้นจัดได้ว่าเป็นทีมในระดับต้นๆเลยทีเดียว ด้วยเหตุที่นักเตะในทีมชาติชุดนี้ มีความใกล้ชิดกับคอบอลชาวไทยในปัจจุบันอย่างแนบแน่น

ทุกสุดสัปดาห์ (และบ่อยครั้งในช่วงกลางดึกกลางสัปดาห์) แฟนบอลชาวไทยจะเฝ้าติดตามการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ชิพของอังกฤษกัน เราได้ชม และพลอยได้ซึมซับลีลาลูกหนังของนักเตะอังกฤษเข้าในสายเลือดโดยไม่รู้ตัว ถึงขั้นที่ เราสามารถหลับตาจัด 11 ตัวจริงที่จะลงสนาม พร้อมสำรองอีกห้าคนได้ ซึ่งเราไม่สามารถทำเช่นนี้กับทีมชาติอื่นๆ ได้แม้แต่ทีมชาติไทยของเราเอง

ยิ่งไปกว่านั้น เรายังรู้สึกคุ้นเคยสนิทสนมกับนักเตะอังกฤษในระดับที่เราเรียกชื่อเล่นพวกเขาได้สนิทปาก อาทิ “แลมป์” “เบ็ค” “รูน” หรือ “เจิด” เป็นต้น (สำหรับชาติอื่นๆที่เราจะสนิทสนมด้วย ก็ต้องเป็นนักเตะระดับโลกจริงๆ ประเภท “เหยิน” หรือ “แหนม” เท่านั้น)

ทีมชาติอังกฤษชุดนี้ดูจะมีความหวังในการคว้าแชมป์โลกมากที่สุด แม้ว่าความหวังนี้จะถูกแต่งแต้มและโหมกระพือสร้างกระแส ทั้งโดย นักข่าวชาวอังกฤษเอง และ ตัวผู้จัดการทีม(ล่าสุดยังมีการมาออกข่าวเองว่า มีสิทธิทะลุถึงรอบชิงด้วย) รวมไปถึง เปเล่ อดีตราชาลูกหนังโลก และเจ้าแห่งคำทำนายหายนะด้วย

อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นของทีมชาติอังกฤษที่ถูกปั่นขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ได้ถูกเคราะห์ร้ายพุ่งชนปัจจัยพื้นฐาน ก่อนการแข่งขันในรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ เมื่อเวย์น รูนี่ย์ กองหน้าวัย ยี่สิบปี จากทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบเหตุกระดูกข้อเท้าแตก ในเกมพรีเมียร์ชิพที่แข่งกับเชลซี อาการบาดเจ็บของรูนี่ย์นั้นทำให้เขาหมดสิทธิ(เกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ )ในการลงเตะสามนัดในรอบแรก

การคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสในการลงโชว์ผีเท้าของรูนี่ย์ถูกสะท้อนออกมาในรูปของอัตราต่อรองที่บริษัทรับพนันออนไลน์แห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ ให้ไว้กับแต่ละเกม โดยอัตราต่อรองที่ออกมาชี้ว่า รูนี่ย์มีสิทธิ์ไม่ได้ลงเล่นเลยสูงที่สุด ด้วยอัตรา 5/4 ในขณะที่โอกาสลงเล่นครบทั้งเจ็ดนัด (คือเล่นตั้งแต่รอบแรกไปจนถึงนัดชิง) อยู่ที่ 33/1 ซึ่งอัตรานี้ถ้าเทียบบัญญัติไตรยางค์ออกมา จะเท่ากับ 132/4 ผู้อ่านก็ลองเทียบกับโอกาสที่จะไม่ได้ลงเล่นสิครับ ว่ามันต่างกันแค่ไหน

แต่กระนั้น สเวน โยรัน อีริคส์สัน ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษยังคงยืนยันที่จะหนีบเอาเวย์น รูนี่ย์ไปกับทีมด้วย เผื่อว่าในรอบลึกๆ ปาฏิหารย์อาจจะพอช่วยเข็นเวย์น รูนี่ย์ที่ “เกือบ” ฟิต ลงช่วยทีมได้

จะว่าไปอีริคส์สันมิใช่ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษรายแรกที่เลือกตัดสินใจเช่นนี้ เมื่อคราวฟุตบอลโลก 1982 ที่ประเทศสเปนนั้น รอน กรีนวู้ด ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษในยุคนั้น ต้องสูญเสีย เควิน คีแกน และเทรเวอร์ บรุ๊คกิ้ง สองคีย์แมนสำคัญ ไปก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้นไม่นาน เพราะอาการบาดเจ็บที่หลัง และสะโพกตามลำดับ

กรีนวู้ดต้องจัดระบบใหม่เพื่อแก้ปัญหาการขาดนักเตะตัวหลักทั้งสอง และอังกฤษก็ทำได้ดีโดยผ่านรอบแรกได้อย่างฉลุย ชนะสามนัดรวดในรอบแรก ในรอบที่สองอังกฤษถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับเยอรมัน และสเปนเจ้าภาพ ซึ่งผู้ชนะในกลุ่มจะได้ผ่านเข้ารอบไปเล่นในรอบตัดเชือก

อังกฤษเสมอกับเยอรมันแบบโนสกอร์ ก่อนที่จะต้องเผชิญกับ “Mision Impossible” นั่นคือการโค่นเจ้าภาพเพื่อแซงเยอรมันเข้ารอบไป ในนัดนั้น คีแกนและบรุ๊คกิ้ง ได้มีโอกาสสัมผัสเกมประมาณ ยี่สิบเจ็ดนาที

บรุ็คกิ้งต้องใช้เวลาร่วมยี่สิบนาที กว่าเขาจะสามารถบงการเกมให้อังกฤษได้ ในขณะที่ คีแกนมีโอกาสเป็นฮีโร่ พาอังกฤษเข้ารอบ จากโอกาสขึ้นโหม่งหน้าประตูที่ไม่มีใครประกบ แต่เขากลับขวิดบอลนั้นออกข้างเสาไปอย่างน่าเสียดาย เกมนั้นจบลงด้วยการเสมอกันไป ศูนย์ประตูต่อศูนย์ อังกฤษกลับบ้านโดยไม่แพ้ใคร แต่ก็ยิงใครไม่ได้เลยเช่นกันในรอบที่สองนี้

จริงอยู่ที่ทั้งสองเป็นนักเตะมีระดับ และมีความสามารถพอที่จะพลิกเกมให้อังกฤษได้ แต่ความที่ทั้งสอบเจ็บมานาน และขาดความฟิต ทั้งสองจึงมิสามารถเคาะสนิมออกได้หมดในยามที่ต้องลงสนามช่วยทีม เวย์น รูนี่ย์อาจจะอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจาก คีแกนและบรุ็คกิ้งเท่าใดนัก หากอีริคส์สันโยนเขาลงสนามเพื่อช่วยทีมในยามคับขัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมขึ้นกับว่า อังกฤษจะไปได้ไกลแค่ไหนในช่วงเกมที่ไร้รูนี่ย์ หากอีริคส์สันเกิดค้นพบระบบการเล่นใหม่ที่สามารถพาทีมไปไกลได้โดยไม่ต้องพี่งรูนี่ย์ มันก็น่าคิดเหมือนกันว่า แล้วอีริคส์สันจะยอมเปลี่ยนระบบการเล่นและผู้เล่นที่ช่วยพาอังกฤษเข้ารอบลึกๆได้ เพียงเพราะมีผู้เล่นคนหนึ่ง เริ่มจะ”ฟิต” พอที่จะเล่นได้แล้ว กลับมาหรือเปล่า

Monday, May 08, 2006

World Cup Fantasy

เมื่อสเวน โยรัน อีริคสัน ทำเรื่องอื้อฉาวอีกครั้งก่อนบอลโลกจะเริ่มฟาดแข้งเพียงไม่กี่สัปดาห์ เอฟเอของอังกฤษจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปลดเขาออกจากตำแหน่งในทันที แม้ว่าอังกฤษจะต้องเผชิญกับปัญหาที่หนักยิ่งกว่า ในการคัดสรรกุนซือคนใหม่เข้ามาคุมทีมแทน แต่ทว่าเหล่าบรรดากุนซือที่มีระดับทั้งหลายที่ว่างเว้นจากการคุมทีมระดับสโมสร ต่างจองทัวร์ไปเที่ยวพักผ่อนตากอากาศกันหมด โชคยังดีที่มีคนหัวใส แนะให้ทางเอฟเอ เลือกสรรกุนซือหน้าใหม่โดยอาศัยการทำทีมใน Football Manager เป็นตัวตัดสิน

การค้นหาสิ้นสุดลงในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเอฟเอประกาศเลือก Corgiman ผู้สามารถนำทีมลิเวอร์พูลเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ในฤดูกาลแรกที่ทำทีม (แม้ว่าเขาจะเซฟเฉพาะเกมที่ทีมชนะเท่านั้นก็ตาม)

Corgiman เริ่มงานในวันแรกด้วยการกล่าวท้าทายนักเตะตามสไตล์มูรินโญ่ "พวกคุณเคยเป็นแชมป์ลีก หรือแชมป์ยุโรปบ้างหรือเปล่า" เมื่อนักเตะส่วนใหญ่ตอบว่าเคย Corgiman จึงขอให้พวกเขาเหล่านั้นเล่าประสบการณ์ให้ฟังเพื่อเป็นวิทยาทาน

ในวันต่อมา Corgiman ตัดนักเตะบางคนออก และเรียกนักเตะที่สื่อมวลชนอังกฤษไม่คาดคิดว่า จะอยู่ในข่าย22 ตัวจริงเข้าแคมป์ Corgiman ตัดไมเคิล โอเว่นออกจากทีม และเรียก ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และสก็อต คาร์สัน เข้ามาติดทีมชุดใหญ่ เมื่อถูกสื่อมวลชนถามถึงเหตุผลที่ไม่เอา ไมเคิล โอเว่นไปเยอรมันด้วย Corgiman ยักไหล่และตอบไปว่า "ผมไม่เลือกนักเตะที่เห็นม้านั่งสำรองในทีมที่ไม่ได้แชมป์อะไรในสเปน ดีกว่าตำแหน่งตัวจริงในทีมแชมป์ยุโรปหรอกครับ"

อย่างไรก็ดี Corgiman พาเวย์น รูนี่ย์ ไปเยอรมันด้วย

......

อังกฤษเริ่มต้นบอลโลกอย่างไม่สวยนัก Corgiman ใช้ปีเตอร์ เคร้าช์ เป็นหัวหอกตัวเดียว ในแผนการเล่น "ยอดเจดีย์" ของเขา ในแผนการเล่นนี้ Corgiman วางกองหลังไว้ถึงเจ็ดตัว ปีกซ้ายขวา และกองหน้าหนึ่ง แน่นอน เคร้าช์ต้องเป็นจุดปลายของยอดเจดีย์

Corgiman ให้เหตุผลว่า ในการแข่งกับทีมอย่าง ปารากวัย และตรินิแดด ที่เขาไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ ความรัดกุมของเกมรับต้องมาก่อน ผลการแข่งขันเป็นไปตามหมากที่วางไว้ โดยอังกฤษเสมอกับทั้งสองทีมไปแบบไร้สกอร์ ปีเตอร์ เคร้าช์สามารถส่งลูกหนังเข้าสู่ก้นตาข่ายได้ แต่ว่านั่นเป็นเหตุการณ์ภายหลังจากที่ผู้ตัดสินเป่านกหวีดหมดเวลาไปแล้ว

ในนัดสุดท้ายของกลุ่ม อังกฤษต้องตัดสินชะตากับสวีเดน ความกดดันตกอยู่กับ Corgiman สื่อมวลชนอังกฤษเรียกร้องและขอร้องให้เขาเลิกใช้ระบบ "ยอดเจดีย์" โดยมีการร่วมกันล่ารายชื่อให้ใช้ระบบ "ต้นคริสต์มาส" หรือ "สามเหลี่ยมทองคำ" แทน

Corgiman ยอมเปลี่ยนแผนการเล่น โดยเน้นเกมรุกมากขึ้น ...ทว่าผลการแข่งขันจบลงด้วยการเสมอกัน หนึ่งต่อหนึ่ง โดยอังกฤษได้ประตูจากการทำเข้าประตูตัวเองของกองหลังสวีเดน

อย่างไรก็ดี ผลต่างประตูได้เสียของอังกฤษดีพอที่จะช่วยให้ทีมได้เข้ารอบ และปล่อยให้ตรินิแดด และปารากวัยต้องกลับบ้านไปอย่างน่าเจ็บใจ

ในรอบสองนี้อังกฤษต้องเจอกับฝรั่งเศส ซึ่งมีทั้งซีดาน และอองรี Corgiman ยังเน้นให้ลูกทีมเล่นอย่างรัดกุมเหมือนเดิม ในช่วงท้ายเกม สกอร์ยังคงนิ่งที่ ศูนย์ต่อศูนย์ ก่อนที่กรรมการจะเป่านกหวีดหมดเวลาไม่กี่นาที อังกฤษได้ครองบอลอยู่นอกเขตโทษของฝรั่งเศส นักเตะทีมตราไก่ต่างไล่บี้ สตีเว่น เจอร์ราร์ดที่ครองบอลอยู่ ไอ้เจิดไม่รู้จะเลี้ยงไปทางไหนดี เลยส่งกลับให้ประตูฝรั่งเศส ทันใดนั้นเอง เธียรี่ อองรี ก็โผล่มาตัดลูกได้ และเลี้ยงบอลหลบ โกล์ฝรั่งเศสที่ออกมาจากเส้นประตู และแปนิ่มๆเข้าไป อังกฤษ 1 ฝรั่งเศส 0

ในรอบตัดเชือก อังกฤษต้องโคจรมาพบกับ คู่ปรับเก่า อาร์เจนตินา นัดนี้คิม นีลเซ่น กรรมการชาวเดนมาร์ค ผู้เคยตัดสินคู่นี้เมื่อครั้ง ฟร้องซ์ 98 ได้มาทำหน้าที่ห้ามมวยอีกครั้ง เพียงนาทีแรก เครสโปได้บอลเลี้ยงเข้าในเขตโทษ และถูกจอห์น เทอร์รี่หยิกสีข้าง ล้มลง กรรมการเป่านกหวีดยาว ชี้ไปที่จุดโทษในทันที เบ็คแฮม เดินเข้ามาปรบมือให้กำลังใจผู้รักษาประตู เดวิด เจมส์ แต่ทว่ากรรมการตีความว่า การตบมือของเบ็คแฮมเป็นการตบมือประชดการตัดสิน จึงแจกใบแดงให้กับหนุ่มเบ็คส์ไป อังกฤษเหลือผู้เล่นเพียงสิบคนตั้งแต่นาทีแรก

เครสโป ยิงลูกโทษข้ามคาน และบรรดากองหลังจากทีมอาร์เซน่อล พากันล้อมวงกางแขน ล้อเลียนศูนย์หน้าชาวอาร์เจนตินา ทำให้ผู้ตัดสินต้องแจกใบแดงให้กับกองหลังอังกฤษอีกสองใบ

อาร์เจนตินามาได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่สาม เมื่อเจมส์ ออกมาตัดลูกเตะมุมพลาด ทำให้ไลโอแนล เมสซี่ โดนขึ้นเหนือปีเตอร์ เคร้าช์ โหม่งบอลเข้าประตูอังกฤษไป อาร์เจนตินา 1 อังกฤษ 0

เกมดำเนินไปด้วยความรุนแรง นักเตะต่างงัดลูกโหดมาใช้กันอย่างไม่เกรงกลัวใบแดง เพราะรู้ว่า กกต ยุคนี้ไม่กล้าแม้แต่จะแจกใบเหลือง

ในช่วงห้านาทีสุดท้าย Corgiman ตัดสินใจส่งเวย์น รูนี่ย์ ที่เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บลงสนาม นี่คือการเดิมพันครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตผู้จัดการทีมฟุตบอลของ Corgiman

สัมผัสแรกของรูนี่ย์คือการับบอลจาก เดวิด เจมส์ ที่โดนยิงอัดเข้าตรงเป้า จนจุก จึงปล่อยบอลให้รูนี่ย์ที่ลงมาดูอาการในเขตโทษเป็นคนเอาบอลไปเล่น รูนี่ย์ลากบอลจากเขตโทษของตัวเอง ผ่านผู้เล่นอาร์เจนติน่า คนแล้วคนเล่า แม้ว่าจะโดนเตะหนักแค่ไหน แต่รูนี่ย์ยังคงพาบอลไปเรื่อยๆ

เขาลากบอลเข้าในเขตโทษ และเลี้ยงหลบผู้รักษาประตู ก่อนที่จะส่งบอลเข้าไปซุกที่ก้นตาข่าย อังกฤษตีเสมอได้ แต่ทว่า รูนี่ย์ ผู้ทำประตูกลับต้องสิ้นสุดอาชีพนักเตะลงเพียงเท่านี้ เขาแสดงความดีใจด้วยการวิ่งออกไปนอกสนาม และสะดุดขาตัวเองล้มลง ทำให้กระดูกเท้าแตกยับเป็นเสี่ยงๆ หมดหนทางเยียวยา

Corgiman ตัดสินใจถอดรูนี่ย์ออก และส่งฟาวเลอร์ลงไปแทน อังกฤษฉวยโอกาสที่อาร์เจนตินาขวัญเสีย บอมบ์ลูกยาวใส่ในเขตโทษ

โกล์อาร์เจนติน่าโดดขึ้นพร้อมๆกับกองหน้าอังกฤษ หมัดของโกล์อาร์เจนตินากระแทกกับกรามขวาของปีเตอร์ เคร้าช์ ในขณะที่ลูกบอลสัมผัสโดนบางสิ่ง และลอยเข้าสู่ประตูอันว่างเปล่า อังกฤษพลิกแซงอาร์เจนติน่า เข้าชิงชนะเลิศกับเยอรมันเจ้าภาพได้สำเร็จ เมื่อโทรทัศน์ทำการย้อนดูภาพช้าของเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งประตูชัยของอังกฤษ ผู้ชมจึงได้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่สัมผัสบอลให้ลอยเข้าประตูไปนั้นเป็นกำปั้นของผู้เล่นอังกฤษคนหนึ่งนั่นเอง

หลังจบเกม ผู้สื่อข่าวต่างมารุมถาม Corgiman ถึงผู้ที่ทำประตูชัยให้อังกฤษ Corgiman ให้คำตอบที่สั้นและตรงกับความจริงที่สุด ว่า "It's a hand of God"

ในนัดชิงชนะเลิศ อังกฤษตกอยู่ในสถานะลำบาก เพราะผู้เล่นติดโทษแดง และบาดเจ็บ (ส่วนผู้เล่นจากสเปอร์ ท้องเสียจนไม่มีแรงเล่น) จนเหลือผู้เล่น outfield ที่ลงสนามได้เพียง เจมี่ คาราเกอร์ สตีเว่น วอร์น็อค สตีเว่น เจอร์ราร์ด ปีเตอร์ เคร้าช์ และร็อบบี้ ฟาวเลอร์

ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทีมแพทย์อังกฤษจึงใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาสมัยใหม่ แก้ปัญหาให้กับทีม และสามารถช่วยให้ Corgiman จัดดรีมทีมของชาวเมอร์ซี่ไซด์ ลงในนัดชิงถ้วยบอลโลกได้

รายนามผู้เล่นอังกฤษ มีดังนี้

ประตู สก็อต คาร์สัน
กองหลัง เจมี่ คาราเกอร์ เจมี่ คาราเกอร์ เจมี่ คาราเกอร์ และ เจมี่ คาราเกอร์
กองกลาง สตีเว่น เจอร์ราร์ด สตีเว่น เจอร์ราร์ด สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด
กองหน้า ปีเตอร์ เคร้าช์ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์

สำรอง สตีเว่น วอร์น็อค สตีเว่น เจอร์ราร์ด(2) และ เจมี่ คาราเกอร์(2)

อังกฤษ สามารถคุมเกมได้อย่างเบ็ดเสร็จ เยอรมันประสบปัญหาในการเผชิญหน้ากับผู้เล่นอังกฤษซ้ำๆกันทั้งในแดนกลาง และในแดนหลัง อังกฤษขึ้นนำก่อนถึง 4-0 จากการยิงของปีเตอร์ เคร้าช์คนเดียว แม้ว่า ลูกยิงทั้งสี่ลูกจะต้องนำเทปมาพิจารณากันอีกครั้งว่า เป็นการยิงของเคร้าช์ หรือการทำเข้าประตูตัวเองของผู้รักษาประตู

กว่าที่เยอรมันจะส่ง ดีทมาร์ ฮาร์มัน ลงมาช่วยเพื่อนร่วมทีมแยกแยะว่า คนไหนคือ คาราเกอร์แบ็คซ้าย คนไหนคือคาราเกอร์เซนเตอร์ เกมก็ขาดไปเยอะแล้ว

ช่วงท้ายเกม คาราเกอร์แบ็คซ้ายมีอาการบาดเจ็บ ทำให้ Corgiman ต้องเรียก สตีเว่น วอร์น็อค ลุกขึ้นมาวอร์ม ก่อนที่จะตัดสินในส่ง เจมี่ คาราเกอร์สำรอง ลงไปแทนเจมี่ คาราเกอร์ที่บาดเจ็บ

จบเกม อังกฤษชนะ เยอรมันด้วยสกอร์ 4-0 ที่ภายหลังฟีฟ่าออกมายืนยันว่า ทั้งสี่ประตูเป็นของปีเตอร์ เคร้าช์เพียงประตูเดียว ส่วนอีกสามประตูเป็น แฮททริค ของเยนส์ เลห์มัน

Thursday, April 27, 2006

ใครเอ่ย The Cantona of Coaching.

ด้วยเหตุใดไม่ทราบ หนังสือ World Soccer ฉบับเดือน พฤศจิกายน 2003 (ภาพปก ฮวน เวรอน ในเสื้อเชลซี) ถูกวางบนที่ชั้นที่ผมจัดไว้สำหรับหนังสือการ์ตูน

เมื่อผมหยิบมันขึ้นมาพลิกดูเนื้อหาข้างใน ผมก็อดเพลิดเพลินไปกับ รูปภาพและข่าวคราววงการฟุตบอล ในห้วงเวลานั้นไม่ได้ มันไม่ต่างกับการที่ได้มีโอกาสย้อนกลับไปดูอดีต จากมุมมองปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทความของ Jim Holden ที่เป็นเสมือนตัวเชื่อมโยงวันเวลาแห่งอดีตกับโลกปัจจุบันได้อย่างบังเอิญที่สุด

บทความดังกล่าวโปรยหัวไว้ว่า Wenger, the Cantona of coaching บทความนี้เขียนในขณะที่รอบแบ่งกลุ่มของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลนั้น แข่งไปได้เพียงสองนัด โดยทีมของอาร์แซน เวงเกอร์ อยู่อันดับบ๊วยของตารางในกลุ่ม บี

ทีมปืนใหญ่แข่งไปสองนัด แพ้อินเตอร์ในบ้านไปด้วยสกอร์น่าเอาปี๊ปคลุมหัว - สามศูนย์ และออกไปเสมอกับ โลโคโมทีฟ มอสโค แบบไร้สกอร์

Jim Holden บอกว่า อาร์เซน เวงเกอร์ สามารถทำให้เกมรุกของอาร์เซน่อลมีสีสัน น่าตื่นตาตื่นใจ และเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จอย่างสูงในพรีเมียร์ชิพ (ซึ่งในซีซั่นนั้นเอง ที่อาร์เซน่อลจบฤดูกาลในฐานะแชมป์ลีก ผู้ไม่พ่ายแพ้ให้แก่ทีมใดเลย) แต่ทว่ากุนซืออย่างเวงเกอร์ กลับไม่เคยประสบความสำเร็จในการทำทีมสู้ศึก UCL เลย เขาทำได้ดีที่สุดเพียง แค่พาทีมเข้าถึงรอบ Quarterfinal เท่านั้นเอง ทั้งๆที่เวงเกอร์นั้น จัดได้ว่าเป็นผู้มีประสบการณ์โชกโชนบนเส้นทางนี้

บทความดังกล่าวได้แสดงตัวเลขที่น่าสนใจประกอบ สถิติ ณ เวลานั้นชี้ว่า เวงเกอร์คุมทีมปืนใหญ่ในถ้วยนี้มาแล้ว 59 เกม อยู่ในอันดับที่หกของบรรดากุนซือที่ผ่านเกม UCL มากที่สุด โดยท่านเซอร์ แห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด ครองอันดับหนึ่ง ด้วยจำนวนเกมทั้งหมด 95 เกม

Holden เปรียบเวงเกอร์เหมือนกับคันโตน่า ที่แม้ว่าจะมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของแมน ยูฯในแผ่นดินอังกฤษ แต่ไม่เคยนำพาทีมให้เข้าชิงถ้วยใหญ่ของยุโรปได้เลย แม้แต่ครั้งเดียว แต่ครั้นเมื่อคันโตน่าเลิกอาชีพค้าแข้งกับแมน ยูฯเพียงฤดูกาลเดียว ทีมกลับสามารถพิชิตแชมป์ยุโรปได้สำเร็จ (พร้อมๆกับการเป็นทริปเปิ้ลแชมป์ในฤดูกาลเดียวกัน)

การยกให้เวงเกอร์เป็นคันโตน่าแห่งการคุมทีม ย่อมหมายความว่า หากอาร์เซน่อลจะได้เป็นแชมป์ UCL แล้วไซร้ จักต้องหาโค้ชใหม่มาคุมทีมแทนเวงเกอร์สถานเดียว

นั่นคือข้อสรุปของ Jim Holden เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2003

เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา อาร์เซน่อลของเวงเกอร์สามารถฝ่าด่าน บียารีล แห่งสเปน เข้าไปชิงถ้วย UCL ที่ฝรั่งเศสในกลางเดือนหน้าได้สำเร็จ และเวงเกอร์กำลังจะทำให้สมญาที่ Jim Holden ตั้งให้เมื่อสามปีก่อนนั้นเป็นโมฆะไปในทันที หาก เธียรี่ อองรีได้เป็นคนแรกในทีมอาร์เซน่อลที่ชู Big Ear กลางสนาม สตาร์ด เดอ ฟรองซ์

แฟนๆปืนใหญ่อย่าเพิ่งไปด่านาย Jim Holden นะครับ ในฐานะที่เอากุนซือมาดละเมียด ไปเปรียบกับ icon ของทีมสุดชังอย่างแมน ยูฯ ซ้ำยังสบประมาทอีกว่า ทีมปืนใหญ่ของเวงเกอร์จะไม่สามารถประสบความสำเร็จในถ้วยใบนี้ได้

เพราะในบทความนี้ Jim Holden วิจารณ์ถึงสาเหตุที่ต้องกล่าวโทษอาร์เซน เวงเกอร์ว่าเป็นต้นตอของความล้มเหลวของทีม Holden ชี้ว่าแทกติคของอาร์เซน่อล ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ และตามคู่แข่งในบอลยุโรปได้อย่างเหมาะสม

ซึ่งความสำเร็จในวันนี้ของอาร์เซน่อลนั้น มาจากการแก้ไขในแทกติคที่เคยผิดพลาดมาแต่ครั้งอดีต

อาร์เซน่อลในวันนี้ ไม่ได้มีวันนี้ได้เพราะเกมรุกที่ลืนไหล และลีลาอันแพรวพราวของ อองรีเพียงอย่างเดียว อาร์เซน่อลมีดีกว่าตรงที่ปรับเกมให้เล่นเพื่อหวังผล เล่นเพื่อยันเสมอ เล่นเพื่อหวังปิดเกม ปิดสกอร์คู่ต่อสู้

มีสถิติไม่เสียประตูเลยถึงสิบนัดติดต่อกัน ไม่ใช่ได้มาด้วยโชค (แม้โชคจะมีส่วนบ้างก็ตาม) สถิตินี้แสดงให้เห็นถึงการปรับจูน กลยุทธ์การเล่นในบอลยุโรป ที่มีประสิทธิภาพ

น่าเสียดายที่ความเจนโลกของทีมอาร์เซน่อล จะไม่ส่งผลใดๆต่อโอกาสของทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลก เพราะทีมอาร์เซน่อลถือสัญชาติอังกฤษ แต่ผู้เล่นในทีม ล้วนแล้วแต่ถือพาสปอร์ตคนต่างด้าวทั้งสิ้น ฝรั่งเศสบ้าง สเปนบ้าง ไอเวอร์โคสต์บ้าง คือถ้าคืนวันที่เตะกับ บียารีล โซล แคมเบล ไม่ลงเตะนะครับ ทั้งทีมจะไม่มีคนอังกฤษเลย

ตรงนี้ที่ทำให้ปืนใหญ่ต่างกับ เชลซี ผีแดง และหงส์ เพราะหากทีมใดในสามทีมนี้เข้าชิง ผู้เล่นสัญชาติอังกฤษจะต้องอยู่ในทีม และมีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มีความฮึกเหิมก่อนแข่งบอลโลกในฤดูร้อนนี้อย่างแน่นอน


ู่

Tuesday, April 18, 2006

บทความเกี่ยวกับ John Nash และ Ariel Rubinstein ที่ยังเขียนไม่จบ

1.

ฉาก ผับในมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน
ตัวละครสำคัญ จอห์น แนช และเพื่อนนักศึกษาปริญญาเอกสาขาคณิตศาสตร์ ซึ่งกำลังนั่งดื่มเบียร์กันอยู่ภายในผับนั้น
เหตุการณ์ นักศึกษาสาวสี่คนได้เดินเข้ามาในผับดังกล่าว

สาวน้อยทั้งสี่ตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาหนุ่มๆในทันที
สาวสวยผมบลอนด์ดูจะเป็นคนที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนในผับได้มากที่สุด ผมสีบลอนด์ของเธอตัดกับผมสีบรูเน็ตต์ของผองเพื่อนที่เดินเข้ามาด้วยกันอย่างเด่นชัด เสริมให้ใบหน้าและรูปร่างที่ดูดีอยู่แล้วยิ่งโดดเด่นขึ้นอีก

จอห์น แนชและผองเพื่อน ก็พากันมองเธออย่างไม่วางตาด้วยเช่นกัน
ในขณะที่ สาวผมบลอนด์คนนั้นทอดสายตามาทางโต๊ะของจอห์น แนช เขากลับนั่งนิ่งในท่าทางที่ใช้ความคิด ประหนึ่งกำลังหมกมุ่นกับการแก้ระบบสมการคณิตศาสตร์อันซับซ้อนอยู่ในใจ
จอห์น แนชนั่งครุ่นคิดอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางเสียงสรวลเสเฮฮาของเพื่อนฝูง ที่สัพยอกแนช เรื่องความไร้ซึ่งวาทะศิลป์ในการชวนสาวไปออกเดท

พลัน...จอห์น แนชกลับทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า ”อดัม สมิธ ต้องทบทวนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของเขาเสียแล้ว”
แนช กล่าวถึง อดัม สมิธ บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์ ในขณะที่เขายังคงนั่งในท่าเดิม สายตาเขายังคงจับอยู่ที่สาวผมบลอนด์
“ถ้าหากเราทุกคน เข้าไปจีบสาวผมบลอนด์ พร้อมๆกัน พวกเราก็จะไปตัดโอกาสกันเอง...
..และจะไม่มีใครได้ออกเดท กับเธอ ...
เมื่อพวกเราหันไปจีบพวกเพื่อนๆเธอแทน ...พวกหล่อนจะเมินเราสิ้น เพราะพวกเธอต่างไม่อยากรับสภาพเป็นตัวเลือกที่สอง
ดังนั้น ถ้าพวกเราพร้อมใจกัน ไม่เข้าไปจีบสาวผมบลอนด์ ...เข้าไปเดทกับเหล่าสาวผมบรูเน็ตต์เลย
พวกเราจะไม่ทำลายโอกาสซึ่งกันและกัน และไม่ทำให้สาวๆที่เราเข้าไปจีบเสียความรู้สึกด้วย.... และนั่นคือทางเดียวที่พวกเราจะชนะ”

จอห์น แนช พลันเปลี่ยนอากัปกิริยา หันมาอธิบายสิ่งที่เขาค้นพบ ให้กับเพื่อนๆฟัง ด้วยท่าทางที่ไม่ต่างจาก เด็กๆที่กำลังสนุกกับของเล่นที่ถูกใจ

“อดัม สมิธ บอกว่า ผลลัพท์ที่ดีที่สุดสำหรับส่วนรวมจะเกิดจาก การที่แต่ละคนทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ใช่มั้ย? .... นั่นยังไม่สมบูรณ์ ..ยังไม่สมบูรณ์ เพราะการที่แต่ละคนทำแต่เพียงสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเองนั้น ไม่เพียงพอ แต่ละคนต้องทำในสิ่งที่ดีสำหรับกลุ่ม อีกด้วย”

จาก ภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Mind ซึ่งสร้างโดยอิงจากหนังสือชื่อเดียวกันของ Sylvia Nasar

2.

จอห์น แนช ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1994 จากผลงานวิชาการที่เขาเขียนไว้ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 50
ด้วยผลงานทางวิชาการทั้งทางด้านคณิตศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ที่ผลิตออกมาในช่วงเวลาสูงสุดของชีวิตการทำงาน แนชมีความเหมาะสมทุกประการที่จะถูกเรียกขานว่าเป็น “สุดยอดอัจฉริยะ” เขาเป็นหนึ่งเดียวในยุคนั้น ที่ได้รับการยกย่องสรรเสิญถึงขั้นว่าเป็นผู้กำหนดอนาคตวงการคณิตศาสตร์ ขนาดที่วารสารอย่าง Fortune ยังนำรูปของเขาขึ้นเป็นหน้าปกในปี 1958 อีกด้วย

ในขณะที่ทั้งชีวิตการงานและชีวิตครอบครัวกำลังดำเนินไปด้วยดี โชคชะตาได้เล่นตลกพลิกผันชีวิตของเขา บันดาลให้เกิดอาการป่วยทางจิต ที่เรียกว่า Schizophrenia ส่งผลให้เขากลายเป็นบรุษที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก หมกมุ่นอยู่กับการคิดถอดรหัสตัวเลขที่เขาเชื่อว่าถูกส่งมายังโลกโดยมนุษย์ต่างดาว

แนชเริ่มแสดงท่าทางแปลกๆต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน และนักศึกษา เขาถูกคุกคามจากเสียงที่ไม่มีตัวตน แต่ดังกึกก้องเพียงในหัวของเขาเท่านั้น ผู้คนเริ่มถอยห่างออกจากแนช และพยายามไม่ใส่ใจในคำพูดหรือการกระทำของเขา ทีละเล็กทีละน้อย

จอห์น แนชสูญเสียตำแหน่งทางวิชาการ และถูกถอดจากมหาวิทยาลัย M.I.T. เขากลายเป็นคนตกงาน และมีผลต่อเนื่องให้ชีวิตสมรสของเขาประสบปัญหาสั่นคลอน ในที่สุดชีวิตคู่ของเขากับภรรยาก็ต้องจบลงด้วยการหย่าร้าง (แม้ว่าทั้งคู่จะยังคงอยู่ด้วยกันจนถึงปัจจุบันก็ตาม) ชีวิตที่เคยมีอนาคตสวยหรูทอดรออยู่นั้น บัดนี้ได้ถูกอาการป่วยทางจิตทุบทำลายจนหมดสิ้น

สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ให้คนส่วนใหญ่ได้จดจำเกี่ยวกับตัวเขาจึงมีเพียง ผลงานวิชาการที่ทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนักคณิตศาสตร์รุ่นหลังต่างใช้เรียนกันอยู่ในมหาวิทยาลัยนั่นเอง
ผู้คนจำนวนมากมักคิดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว และหลายคนที่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ คิดว่าเขาคงไม่สามารถกลับมาดำเนินชีวิตอย่างปุถุชนปกติได้

แต่แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น... หลังจากที่ภาวะทางจิตได้ทำลายชีวิตเขามานานร่วม 30 ปี เกิดบรรเทาความรุนแรงลง เสียงที่เคยดังกึกก้องในหัวเริ่มแผ่วเบาลง จอห์น แนชสามารถพูดคุย สื่อสารกับผู้คนได้อย่างปกติอีกครั้ง สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขา “หายไป” จากโลกได้

เรื่องราวของจอห์น แนช เริ่มเป็นที่สนใจในวงกว้างภายหลังจากที่ Sylvia Nasar เขียนบทความที่มีความยาวขนาด 9 หน้ากระดาษ A4 ถ่ายทอดชีวประวัติของแนช ผู้ที่มีทั้งมิติของอัจฉริยบุคคล และมิติของผู้ป่วยโรคจิต ในวาระที่เขาได้รับรางวัลเกียรติยศของชีวิต ลงในหนังสือพิมพ์ New York Times ในปี 1994

บทความนี้สร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านเป็นอย่างมาก และส่งผลให้ Sylvia Nasar ใช้ระยะเวลาสองปีต่อมา ค้นคว้าหารายละเอียดในทุกซอกมุมของชีวิต จอห์น แนช เพิ่มเติม เพื่อเรียบเรียงเขียนเป็นหนังสือ “A Beautiful Mind: The Life of Mathematical Genius and Nobel Laureate John Nash”

หนังสือเล่มนี้ได้กลายเป็นหนังสือขายดีติดอันดับ และถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สไตล์ฮอลลีวู้ด ที่ได้่ รัสเซล โครล มารับบทเป็นจอห์น แนช...


3.

ทฤษฎีเกม ถูกคิดค้นขึ้นมาในยุคสมัยที่สันติสุขของมวลมนุษย์กำลังถูกคุกคามจากภาวะสงครามโลกครั้งที่สอง สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศมหาอำนาจในโลกที่หนึ่ง นำพาให้นักคณิตศาสตร์กลุ่มหนึ่งที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ประเทศสหรัฐฯ หันมาสนใจการวิเคราะห์สถานการณ์ของความขัดแย้ง ระหว่างบุคคลหลายฝ่าย เพื่อจะได้เข้าใจถึงทางออก และวิธีการยุติข้อขัดแย้ง

นักเศรษฐศาสตร์ยังมิได้เปิดรับเอาทฤษฎีเกมเข้ามาเป็นองค์ความรู้ในกระแสหลัก จนกระทั่งภายหลังจาก จอห์น แนชได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัย สามชิ้นในช่วงปี 1950-1953 ทฤษฎีเกมจึงได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของนักเศรษฐศาสตร์ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของบุคคล ที่มีปฏิสัมพันธ์กันในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมิใช่เพียงแต่ในสถานการณ์ที่เป็นความขัดแย้งกันระหว่างบุคคลเท่านั้น แต่ยังถูกขยายขอบเขตให้สามารถวิเคราะห์ถึง เหตุการณ์ที่บุคคลหลายฝ่าย ที่มีอำนาจในการตัดสินใจเป็นอิสระต่อกัน พยายามหาทางประสานความร่วมมือระหว่างกัน ได้อีกด้วย
ทั้งเหตุการณ์ความขัดแย้ง และเหตุการณ์ที่แสวงหาความร่วมมือ ระหว่างบุคคล ล้วนเป็นปรากฎการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ที่เรามักพบเจอในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ

การวิเคราะห์พฤติกรรมบุคคล ด้วยการจำลองสถานการณ์ความขัดแย้งหรือการแสวงหาความร่วมมือกันนั้น จะเป็นไปโดยง่ายยิ่งขึ้น หากเราใช้ชื่อเรียกองค์ประกอบในสถานการณ์ต่างๆด้วยชื่อที่เป็นกลาง เราจะเห็นได้ว่า สถานการณ์ความขัดแย้งของบุคคลสองฝ่าย มีส่วนละม้ายกับเกมกีฬาที่ผู้เล่นสองฝ่ายต่างเลือกกลยุทธ์การเล่นเพื่อให้ได้ชัยชนะเหนือคู่แข่ง ในทำนองเดียวกัน ปัญหาความร่วมมือประสานงานกันระหว่างบุคคลหลายฝ่าย ก็คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ผู้เล่นในทีมเดียวกัน พยายามหากลยุทธ์การเล่น ที่จะเข้ากันได้ดีกับกลยุทธ์ของเพื่อนร่วมทีม โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ ชัยชนะของทีม

ดังนั้น คำว่า “เกม” จึงถูกนำมาใช้ในบริบทของทฤษฎี เพื่อเป็นตัวแทนหรือชื่อเรียกของสถานการณ์ใดๆที่เราสนใจจะวิเคราะห์ และคำว่า “ผู้เล่น” จะหมายถึงแต่ละบุคคลที่เกี่ยวข้องในเกม หรือในสถานการณ์ที่เรากำลังสนใจนั่นเอง โดยการวิเคราะห์ของนักทฤษฎีเกมนั้น จะสมมุติว่า ผุ้เล่นแต่ละรายจะเลือกใช้ “กลยุทธ์” ของตน โดยมีกระบวนการคิดวิเคราะห์ ที่เป็นเหตุเป็นผล มีระบบ

นักเศรษฐศาสตร์จึงมอง สถานการณ์ที่ธุรกิจต่างวางกลยุทธ์เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดการค้า เป็น”เกม” และในเวลาเดียวกัน ก็มองว่า ความพยายามที่ฝ่ายคลังและฝ่ายธนาคารกลางต้องหาทางประสานนโยบาย เพื่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เป็นอีกหนึ่ง “เกม” เหมือนกัน

4.

ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ใดๆ อาจมีทางออกที่เปิดกว้างไว้สำหรับการรอมชอมระหว่างผู้เล่น ที่สามารถให้ผลลัพท์ที่ดีกว่า สำหรับทุกๆฝ่ายได้ ในลักษณะเดียวกันกับ การทำสงครามระหว่างสองชาติมหาอำนาจ ที่ต่างอยากเป็นฝ่ายมีชัย แต่หากทั้งสองฝ่ายทุ่มกำลังเข้าห้ำหั่นกันโดยไม่ลดลาวาศอก ทั้งสองฝ่ายย่อมบอบช้ำเสียหายด้วยกันทั้งคู่ ตรงกันข้าม หากทั้งสองฝ่ายรอมชอมกันได้ ต่างฝ่ายต่างละเว้นจากการสู้รบ ความสูญเสียทั้งด้านชีวิตและทรัพยากรย่อมไม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการดีกับทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ดี แม้ว่าการรอมชอมจะให้ผลดีกับทั้งสองฝ่าย แต่ในทางปฏิบัตินั้นยากที่จะเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเกมต่อไปนี้จะช่วยให้เข้าใจว่าเหตุใดที่การรอมชอม หรือสันติสุขจึงเกิดขึ้นได้ยากนักในทางปฏิบัติ

เกมนี้ มีชื่อเรียกว่า Prisoner’s Dilemma โดยเรื่องราวของเกมนี้มีอยู่ว่า ผู้ต้องหาสองรายถูกจับจากการกระทำผิดซึ่งตำรวจเชื่อมั่นว่าทั้งคู่มีความผิดจริง หากแต่ยังไม่สามารถหาหลักฐานที่มัดตัวได้อย่างแน่นหนา ดังนั้นจึงมีเพียงการสอบปากคำผู้ต้องหาเท่านั้นที่จะทำให้ค้นพบความจริงได้ ตำรวจดำเนินการสอบปากคำโดย นำผู้ต้องหาทั้งสองไปแยกสอบสวนในห้องขังที่ผู้ต้องหาต่างไม่อาจติดต่อสื่อสารกันได้

ตำรวจบอกกับผู้นักโทษแต่ละรายว่า คำสารภาพของทั้งสองจะมีผลต่อโทษทัณฑ์ที่ทั้งสองจะได้รับ กล่าวคือ หากผู้ต้องหาทั้งสองราย สารภาพว่าทำผิด ทั้งคู่จะติดคุกเพียง รายละสองปี หากผู้ต้องหารายใดรายหนึ่งสารภาพ ในขณะที่อีกคนปฏิเสธการกระทำผิดต่อกฎหมาย ผู้ที่สารภาพจะได้รับการปล่อยตัว ไม่ต้องติดคุกเลย ส่วนผู้ที่ปฏิเสธจะติดคุกเป็นเวลา ห้าปี และในกรณีสุดท้ายที่ทั้งคู่ปฏิเสธการกระทำผิด ผู้ต้องหาแต่ละคนจะติดคุกหนึ่งปี


ในเกมนี้ มีผู้เล่นสองคน คือนักโทษทั้งสองราย แต่ละคนมีกลยุทธ์ในการเล่นเกมนี้ด้วยกัน สองกลยุทธ์ คือ “สารภาพ” และ “ปฏิเสธ” ผู้เล่นทั้งสองต้องเลือกกลยุทธ์การเล่นเกมของตนเอง โดยที่ไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเลือกเล่นกลยุทธ์ใด (เหมือนกับเวลาเล่น เป่ายิงฉุบ ที่ผู้เล่นต่างต้องเลือกออก กรรไกร ฆ้อน หรือ กระดาษ พร้อมๆกัน)

แม้ว่าผู้เล่นทั้งสองจะต่างเลือกกลยุทธ์ของตนเอง โดยอิสระ แต่การเลือกนั้นต้องคำนึงด้วย ถึงการตัดสินใจของผู้เล่นอีกฝ่าย การคิดอย่างเป็นระบบ มีเหตุมีผล จะช่วยทำให้ผู้เล่นคิดได้ถึงผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้น ในแต่ละทางเลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกกลยุทธ์ที่จะตอบโต้กลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้าม

ในสถานการณ์ที่เรามีผู้เล่นสองฝ่ายที่ “ฉลาด” พอๆกัน มีวิธีคิดที่เหมือนกัน เป็นระบบ และมีเหตุมีผลเท่าเทียมกันเช่นนี้ เราจะสามารถหา “ผลลัพท์” ของเกมนี้ได้อย่างไร ...ในจุดนี้เอง ที่จอห์น แนชได้เสนอแนวทางการวิเคราะห์ไว้ในผลงานชิ้นสำคัญที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล

แนวคิดของแนช มีอยู่ว่า ผลลัพท์ของเกม หรือที่เราอาจเรียกได้ว่าเป็น “ดุลยภาพ” นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อ ผู้เล่นแต่ละราย เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดของตน ในการตอบโต้กลยุทธ์ของผู้เล่นอื่นๆ

ในเกม Prisoner’s Dilemma นี้ กลยุทธ์ “สารภาพ” เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ที่ผู้เล่นจะใช้ตอบโต้กลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้าม เพราะในกรณีที่อีกฝ่ายเลือกใช้ “สารภาพ” เหมือนกัน ผลลัพท์ที่ออกมาคือ ตัวเขาจะติดคุกสองปี ซึ่งดีกว่าการเลือกใช้กลยุทธ์ “ปฏิเสธ” ตอบโต้กลยุทธ์ “สารภาพ” ของคู่แข่ง อันจะส่งผลให้เขาติดคุก ห้าปี
ในทำนองเดียวกัน หากคู่แข่งใช้กลยุทธ์ “ปฎิเสธ” การ “สารภาพ” จะทำให้เขาไม่ติดคุกเลย ซึ่งดีกว่า การติดคุกหนึ่งปี (อันเป็นผลจากที่ผู้เล่นทั้งสองต่างเลือก “ปฏิเสธ”)

เราจะเห็นได้ว่า ด้วยวิธีคิดแบบ แนช เราจะได้ “ดุลยภาพ” ที่ผู้เล่นแต่ละรายเลือก “สารภาพ” โดยแต่ละคนจะติดคุกกันคนละ สองปี ...แม้ว่า จะมีผลลัพท์อื่นที่ให้จำนวนปีของการติดคุกสำหรับทั้งสองที่น้อยกว่านี้ก็ตาม

หากเรามองถึงผลลัพท์ที่ทั้งสองผู้เล่นเลือก “ปฏิเสธ” เราจะพบว่า ทั้งคู่ต้องรับโทษติดคุกเพียงรายละ หนึ่งปี ซึ่งต่ำกว่าโทษใน “ดุลยภาพตามแบบของแนช” แต่ด้วยเพราะกระบวนการคิดของแนช ที่บอกว่าผู้เล่นจะเลือกกลยุทธ์ที่ดีที่สุด ตอบโต้กลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามนี่เอง ที่ทำให้ผู้เล่นทั้งสองไม่อาจเล่นกลยุทธ์ “ปฏิเสธ” ในดุลยภาพได้
เพราะหากฝ่ายตรงข้ามเล่น “ปฏิเสธ” เราจะไม่เลือกเล่น “ปฏิเสธ” ตอบโต้ เพราะผลได้จากทางเลือกนี้ตำ่กว่า การเลือกเล่น “สารภาพ” (เหมือนกับกรณ๊ของเกมสงคราม หากคู่ต่อสู้เลือกที่จะวางอาวุธ กลยุทธ์ที่จะให้ผลดีกับฝ่ายเรามากที่สุดคือ การโจมตี เพราะเราจะได้ชัยชนะเหนือฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ตอบโต้)

แนวคิดของแนช ชี้ให้เห็นว่า กลยุทธ์ที่นำมาสู่ดุลยภาพที่ดีกว่า (เล่น “ปฏิเสธ” ทั้งคู่) นั้นยากจะปฏิบัติ เพราะผู้เล่นอีกฝ่ายมีแนวโน้มจะเลี่ยงไปเล่นกลยุทธ์อื่นที่มิได้อยู่ในดุลยภาพนี้ เรียกได้ว่า ดุลยภาพนี้เป็นสิ่งที่เปราะบางต่อการ “เบี้ยว” ต่อข้อตกลง หรือคำมั่นสัญญา เฉกเช่นกับในเกมสงคราม ที่หากไม่มีสนธิสัญญาปลดอาวุธแล้วไซร้ ยากที่จะมีการยุติสงครามโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำการวางอาวุธโดยสมัครใจได้

5.

สถานการณ์ในเกม Prisoner’s Dilemma เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่สามารถใช้โต้แย้งแนวคิดว่าด้วย “มือที่มองไม่เห็น” (Invisible Hand) ของ อดัม สมิธได้เป็นอย่างดี แนวคิดนี้เชื่อว่า หากเราปล่อยให้ กลไกราคา ที่เกิดจากแรงผลักดันด้านอุปสงค์ และอุปทานของปัจเจกชน ผู้ตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล โดยมีประโยชน์แห่งตนเป็นที่ตั้ง ได้ทำหน้าที่ของมันโดยเสรีแล้ว ทรัพยากรในสังคม จะถูกจัดสรร จะสามารถจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้

ดังในประโยคที่ จอห์น แนช (แสดงโดย รัสเซล โครล) กล่าวไว้ในภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Mind เพราะนักโทษต่างใช้กลยุทธ์ที่ดีที่สุดของตน ในการเล่นเกมโต้ตอบกับผู้เล่นอีกฝ่าย แต่ทว่าผลลัพท์ที่เกิดขึ้นในดุลยภาพนั้น หาใช่ผลลัพท์ที่ดีที่สุดสำหรับทั้งคู่ไม่ ทั้งคู่อยู่ในสถานะที่จะเลือกกลยุทธ์อื่นเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีกว่า แต่ไม่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกอย่างเป็นอิสระ เสรี ตอบสนองต่อ Self-Interest ของผู้เล่น

แม้ว่าภาพยนตร์จะนำสื่อให้เห็นข้อโต้แย้งนี้ ได้อย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรม แต่การวิเคราะห์ของแนช ถึงเรื่องกลยุทธ์การจีบสาว ในฉากนั้น กลับดำเนินไปภายใต้กรอบความคิดที่ ผิดเพี้ยน บิดเบือนไปจาก Nash Equilibrium โดยสิ้นเชิง...

หากเรานำสถานการณ์ในผับ มาเรียบเรียงในภาษาของเกม โดยกำหนดให้มีผู้เล่นในเกมนี้เพียงสองคน คือ แนช กับ เพื่อน และกลยุทธ์ของผู้เล่นแต่ละรายคือ การเข้าจีบสาวผม “บลอนด์” กับ การเข้าจีบสาวผม “บรูเน็ตต์”
หากทั้งแนช และเพื่อน ต่างเลือก “บลอนด์” เหมือนกันทั้งคู่จะไม่ได้ออกเดท ตามที่แนช(รัสเซล โครล)วิเคราะห์ หากคนใดคนหนึ่ง เลือก “บลอนด์” ในขณะที่อีกฝ่ายเลือก “บรูเน็ตต์” ทั้งคู่จะได้เดทกับสาวที่ตนเลือก แต่คนที่เลือก “บรูเน็ตต์” จะมีความสุขในการเดทน้อยกว่า เพราะอิจฉาในความโชคดีของเพื่อน และหากทั้งคู่เลือก “บรูเน็ตต์” ทั้งคู่จะได้ออกเดท โดยไม่รู้สึกอิจฉากัน แต่จะรู้สึกเสียดายนิดๆที่ไม่ได้ควงสาวผมบลอนด์



แนช ในภาพยนตร์บอกว่า ทั้งคู่ควรเลือก “บรูเน็ตต์” เพื่อที่จะได้สมหวังกันทั้งคู่ แต่ทว่าหาก เพื่อนเลือก “บรูเน็ตต์” แล้วไซร้ กลยุทธ์ที่ดีที่สุด สำหรับแนชก็คือ “บลอนด์” มิใช่เล่น “บรูเน็ตต์” ตามเพื่อน (เพราะจะทำให้แนช ได้ออกเดท กับสาวผมบลอนด์) ฉันใดก็ฉันนั้น หากแนชเลือก “บรูเน็ตต์” เพื่อนของเขาก็ควรตอบโต้ด้วย “บลอนด์” เหมือนกัน

ดังนั้น การที่ทั้งคู่เลือก “บรูเน็ตต์” จึงมิอาจเป็นดุลยภาพได้ เนื่องจากผู้เล่นแต่ละคนมีแรงจูงใจที่จะเลี่ยงไปเล่น “บลอนด์” แทน

หาก จอห์น แนช ตัวจริง ได้มีโอกาสนั่งตรงที่ๆรัสเซล โครล นั่งวิเคราะห์เกมจีบสาวในผับนั้น แนชคงบอกกับเพื่อนๆ ของเขาว่า ใน Nash Equilibrium นั้น ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นคือ ทุกคนจะเลือกเข้าไปจีบสาวผมบลอนด์ และสุดท้าย ทุกคนจะได้กิน“แห้ว” กันอย่างถ้วนหน้า

Sunday, December 25, 2005

Merry X'Mas ครับ

วันนี้ขึ้นหัวทักทายด้วยวัฒนธรรมตะวันตกเลยครับ

เป็นอารมณ์ต่อเนื่องจากที่ได้รับจดหมายไฟฟ้าเมื่อวันก่อน เปิดเข้าไปดูเห็นชื่อคนส่งเป็น Bob Geldof ถึงกับผงะเลยอ่ะครับ

เปิดเข้าไปดูเลยรู้ว่าเป็นแค่การส่งต่อจดหมายโดยเว็ปมาสเตอร์ของ Live8 ในฐานะที่เคยไปลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องต่อผู้นำประเทศ G8 เมื่อคราวซัมมิทที่ Gleneagles

มาคราวนี้เซอร์บ็อบชักจูงผมให้ไปร่วมส่งการ์ดอวยพร และเตือนความจำเหล่าท่านผู้นำ G8 ให้รักษาคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ในการประชุมครั้งนั้น

ตามประสาคนที่ถูกชักจูงได้ง่าย ผมก็ไปร่วมลงชื่อกับเค้าเรียบร้อยแล้วครับ

ใครอยากส่งการ์ดตามไปมั่งก็ใช้ลิงค์นี่ได้เลยนะครับ

To send a greetings card to the G8 leaders, click here:
http://www.live8live.com/live8/campaign.do?code=x05

ถ้าพูดถึงคริสต์มาส เราก็ต้องนึกถึงซานตา คลอส และของขวัญที่ถูกใส่ไว้ในถุงเท้าปลายเตียง

อายุอานามขนาดผมเนี่ย คงไม่ต้องหวังของขวัญอะไรจากซานตา คลอสแล้ว

อยากได้อะไรก็ซื้อเอง

ลูกเมียอยากได้อะไร ..ก็ต้องทำหน้าที่ซื้อให้

รับบทซานตา เองแล้ว

สำหรับของขวัญสำหรับตัวเองในปีนี้ ผมได้นี่ครับ ไปซื้อมาเมื่อวัน Christmas Eve จากมาบุญครอง

นี่ครับ รูปของของขวัญที่ผมซื้อให้ตัวเอง



นี่คือ ปั็มลมที่ใช้สำหรับทำสีกันดั้มครับ รุ่นที่ผมซื้อมานี่ไม่มีแอร์บรัชมาด้วย แต่ไม่เป็นไร เพราะผมซื้อแอร์บรัชของ Iwata มาเก็บไว้ตั้งปีกว่าแล้ว

แบบว่าอยากทำมานานแล้วครับ คิดมานานแล้วเหมือนกันว่า..

คนในวัยสี่สิบกว่าๆเนี่ย ควรจะเริ่มหัดใช้แอร์บรัชพ่นสีกันดั้ม ยังงัยดี

โชคดีที่ได้คำแนะนำจากคุณ หนุ่ม เจ้าของร้านพลาโม ชั้นสี่มาบุญครอง เลยมีข้อมูลเพียงพอที่ช่วยให้ตัดสินใจได้

เมื่อคืนลองพ่นดูแล้ว ...สุดยอด

ว่าไปแล้ว การใช้แอร์บรัชเนี่ย ง่ายกว่าเวลาที่เพ้นท์ด้วย พู่กัน หรือว่าพ่นสีด้วยลมกระป๋องมาก

แถมงานที่ออกมาดูดีกว่า วิธีพ่นด้วยสีกระป๋องด้วย

การทำความสะอาดอุปกรณ์ก็ไม่ยุ่งยาก ..อาจะป็นเพราะได้คำแนะนำที่ดีจากคุณหนุ่ม ซึ่งช่วยจัดหาอุปกรณ์ครบเซ็ทให้ผมอีกด้วย

เมื่อคืน ผมลองหัดใช้แอร์บรัช ด้วยการพ่นรองพื้นสีดำไปก่อน แล้วลองใช้สีขาวพ่นทับ (จริงๆควรรอพ่นทับในวันรุ่งขึ้น แต่อารามที่อยากเล่นของใหม่อ่ะ เลยเอาแค่พอแห้งก็พ่นทับแล้ว) พยายามไล่สีให้เห็นแรเงา แต่ก็ยังทำได้ไม่ดี

แต่ยังไงก็สนุกครับ ไม่เพียงแต่ผมที่สนุกสนานไปกับของเล่นใหม่ ลูกชายผมก็คึกคักไม่แพ้กัน

เค้าชอบต่อพวกกันดั้มเป็นทุนอยู่แล้ว แถมยังชอบทำสีอีกด้วย

คิดว่าอีกไม่นานคงมีตัวแอร์บรัช เพิ่มขึ้นมาอีกตัวแน่

ไม่งั้นคงต้องเกิดศึกแย่งชิงกันกระหว่างพ่อลูกแน่นอน