tag:blogger.com,1999:blog-114968432024-03-08T06:21:40.771+07:00The Corgiman's JournalThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.comBlogger42125tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1154917653780955682006-08-07T09:24:00.000+07:002006-08-07T09:27:33.796+07:00Season Preview Part IIไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ผมพยายามสถาปนาตัวเองเป็นกูรูลูกหนังบน Information Superhighway ผมก็ต้องประสบกับเหตุการณ์หน้าแตก สองเหตุการณ์ในเวลาไล่เลี่ยกัน<br /><br />เหตุการณ์แรกคือ ในบทความก่อนหน้านี้ ผมได้เขียนลงไปว่า แมนฯ ยูไนเต็ดยังไม่อาจทาบความยิ่งใหญ่ของหงส์แดงในอดีตได้ เพราะไม่เคยเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก สามปีซ้อน ซึ่งข้อความนี้ทำให้คุณปิ่น แฟนแมนฯยูฯ ต้องออกมาช่วยแก้ไขข้อมูลว่า แท้ที่จริงแล้วในช่วงสามฤดูกาลระหว่าง 1999 2000 และ 2001 นั้น แชมป์พรีเมียร์ลีกไม่เคยหลุดออกจากรั้วโอลด์ แทรฟฟอร์ดเลย นั่นหมายความว่า แมนฯ ยูฯ ได้เคยฟันสามแชมป์ไปแล้วเรียบร้อย<br /><br />ไม่รู้เป็นเพราะอคติที่มีต่อทีมผีทะเลนี้หรืออย่างไรที่บดบังสายตาผม มิให้เหลียวดูสถิติของทีมก่อนลงมือเขียน<br /> <br />เหตุการณ์ที่สองคือผลการแข่งขันฟุตบอลอุ่นเครื่องของทีมที่ผมได้ทิ้งท้ายไว้ในบทความก่อนหน้า ว่าเป็นทีมที่มีโอกาสมากที่สุด ที่จะทำให้ทั้ง เชลซี ผีแดงและปืนใหญ่ อกหัก ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครอบครองแต่เพียงผู้เดียว<br /><br />ไมนซ์ !..... Who is Mainz?<br /><br />ก่อนหน้านี้ผมรู้จักแต่ ไฮนซ์ (Hainz from ฟิลาเดลเฟีย) Ketchup เนื้อข้นสีแดงฉาน ไม่เคยรู้มาก่อนว่า ไมนซ์ยังอยู่ในบุนเดสลีกา<br /><br />แต่เมื่อ ไมนซ์มาอุ่นเครื่องกับ หงส์แดงทีมที่ผมรู้จักดี หงส์แดงของผมเลยเปลี่ยนสภาพเป็น Hainz เพราะโดนไมนซ์ยำไป 5-0 <br /><br />ใช่ครับ ห้าประตูต่อศูนย์<br /><br />โดนยิงไส้ทะลัก เลือดออกมานองเต็มสนามเหมือนขวด Ketchup แตกยังไงยังงั้น<br /><br />นี่ขนาดอุ่นกับทีมระดับโนเนมนะครับ ไม่ได้ไปร่วมทัวร์นาเม้นท์อย่าง อัมสเตอร์ดัม หรือทัวร์อเมริกานะ<br /><br />ความเชื่อมั่นในทีมและความหวังที่จะเห็นทีมคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศของบรรดาสาวกหงส์แดงได้ถูกทดสอบอีกครั้ง <br /><br />ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ้เพลงประจำทีมนั่นหรือเปล่า ที่มาแนวเราไม่ทิ้งกันแม้ยามยากลำบาก หรือที่ร้องกันเป็นภาษาอังกฤษเป็นใจความว่า “พวกเราจะไม่เดินกันตามลำพัง” <br /><br />แบบว่านานๆก้อมาลองใจกันดูซักนิดว่า ยังเดินด้วยกันต่อไปจิงอะป่าว<br /><br />มาถามผมตอนนี้ ว่ายังยืนยันเหมือนเดิมหรือไม่ว่า หงส์แดงจะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกปีนี้ไปครอง ผมขอยืนยันเหมือนเดิมครับ แม้จะด้วยน้ำเสียงที่ลดความหนักแน่นลงไปจากเดิมกว่าครึ่ง<br /><br />เหตุผลที่ผมยังเชื่อมั่นเหมือนเดิมไม่มีอะไรมากหรอกครับ สองปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลเป็นเสมือนทีมที่ฟ้าลิขิตให้มาเป็นมารขวางความสำเร็จแบบสุดๆของเชลซี<br /><br />ถ้าไม่ใช่เพราะลูกยิงลูกนั้นของ หลุยส์ การ์เซีย มูรินโญ่อาจจะได้ฟาดสามแชมป์ในปีแรกของการคุมทีม (แชมป์ลีก ลีกคัพ และยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก) <br /><br />และก็เป็นลิเวอร์พูลอีกเช่นกันที่ขัดขวางมิให้ เชลซีได้ดับเบิ้ลแชมป์(แชมป์ลีก ควบเอฟเอ คัพ) ในฤดูกาลที่ผ่านมา (คุณคิดว่า เวสต์แฮม จะชนะเชลซีในนัดชิงได้หรือครับ)<br /><br />ผมได้ยกให้เชลซีเป็นทีมที่ไร้ความโรแมนติคที่สุด และในเวลาเดียวกัน ผมก็ขอยกให้หงส์แดงของผมเป็นทีมที่โรแมนติคสุดๆ เหมือนกัน<br /><br />ลองนึกดูสิครับว่า การคว้าสองแชมป์ในสองปีที่ผ่านมาของหงส์แดง สร้างตำนานให้เป็นที่กล่าวขานและจดจำกันได้ขนาดไหน<br /><br />โดนยิงนำก่อน ถึงสามลูกในครึ่งแรก และกลับมาเอาคืนได้สามลูกในช่วงเวลาหกนาทีของครึ่งหลัง ด้วยสปิริต Never Say Die ที่ขาดหายไปจากนัดชิงยูโรเปี้ยนคัพมาเป็นเวลาหลายสิบปี ภาพความทรงจำของแฟนบอลที่ยืนเคียงข้างกับทีม แม้ความหวังจะริบหรี่เพียงใดก็ตาม เสียงร้องเพลง You’ll Never Walk Alone ยังดังกระหึ่มราตรีของอิสตันบูลไม่ขาดหาย ตำนานนัดชิงบอลยุโรปบทนี้จะถูกจารึกไว้ตราบนานเท่านาน<br /><br />เช่นเดียวกันกับ การพลิกฟื้นจากสถานการณ์เจียนตายในเกมเอฟเอคัพนัดชิงกับเวสต์แฮม ที่กัปตันแฟนตาสติค วอลเล่ย์ยิงลูกมหัศจรรย์จากนอกเขตโทษ เสียบโคนเสาก่อนที่กรรมการจะเป่านกหวีดยาวปิดเกมการแข่งขัน 90 นาทีเพียงไม่นาน ช่วยให้สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 3-3 จนต้องต่อเวลาและดวลจุดโทษ ซ้ำรอยเหตุการณ์ในอิสตันบูลเมื่อปีก่อนหน้าไม่มีผิด เอฟเอคัพนัดชิงปีที่ผ่านมาจึงถูกกล่าวขานว่า เป็นนัดชิงที่สนุกตื่นเต้นที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา (เชื่อว่า ถ้าเป็นทีมในระดับท็อปโฟร์ทีมอื่นมาเจอกับเวสต์แฮมในวันนั้น เกมคงไม่สูสีดูสนุกขนาดนี้หรอกครับ) <br /><br />สองปีที่ผ่านมา ความยิ่งใหญ่แต่ไร้โรแมนติคของเชลซี จึงถูกกลบด้วยความสำเร็จของลิเวอร์พูลที่แม้จะดูด้อยกว่า แต่เปี่ยมไปด้วยเรื่องราวให้คนกล่าวขานถึง<br /><br />ไม่แปลกใจถ้าใครจะบอกว่า บรรดาขุนพลเชลซี และ พณฯ มูรินโญ่ เกลียดหงส์แดงเข้าไส้<br /><br />ความรักความแค้นระหว่างเชลซี และลิเวอร์พูลกำลังดำเนินมาสู่บทสรุปของมหากาพย์ไตรภาค เมื่อราฟาเอล เบนิเตซจัดการปรับจูนทีมหงส์แดงให้สามารถลดช่องว่างของแต้มในลีก จากที่เคยถูกเชลซีท้ิงห่างถึงสามสิบกว่าแต้มเมื่อสองปีก่อน ให้เหลือเพียงครึ่งเดียวในฤดูกาลที่ผ่านมา<br /><br />ลิเวอร์พูลพัฒนารูปเกมให้มีประสิทธิภาพและความน่ากลัวมากขึ้นกว่าในเมื่อสองปีก่อน แต่ยังคงหาความแน่นอน สม่ำเสมอไม่พบ อีกทั้งในแดนหน้ายังคงทื่อ และกระสุนด้านเหมือนเดิม<br /><br />การเสริมทีมของเบนิเตซ ในฤดูร้อนนี้ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด เพิ่ม เบลามี่ ในแดนหน้า และเพนแนนท์ ทางริมเส้นด้านขวา <br /><br />ดูๆแล้วหงส์แดงในปีนี้มีอาวุธครบเครื่องกว่าปีที่แล้วมาก หากต่อยอดความสำเร็จในการพัฒนาทีมจากปีที่แล้วได้ ผมเชื่อว่า ปีนี้ เก็บ 6 แต้มจากทั้ง แมนฯ ยูฯ และอาร์เซน่อลได้สบายๆ (รวมสองทีม 12 แต้มนะครับ ไม่ใช่สองทีมหกแต้ม)<br /><br />และหากหงส์แดงได้พรสองประการจากพระเจ้ามาช่วยด้วยคือ หนึ่ง ขอให้ขุนพลเชลซีประสบปัญหาอาการบาดเจ็บและฟอร์มตกบ้าง เพราะสองปีที่ผ่านมา แลมป์ เทอร์รี่ และเช็ก แทบไม่เคยเจ็ํบ หรือมีเหตุทำให้ต้องห่างสนามไปนานๆเลย เราจึงอยากเห็นพวกเขาเจ็บบ้าง และถ้าจะให้ดี เจ็บกันหลายๆคนหน่อย เพราะในทีมเชลซีมันมีตัวตายตัวแทนเยอะ พวกสำรองก็ไม่ใช่จะขี้เหร่ อย่างน้อยก็เก่งกว่าพวก ตราโอเร่ หรือดิเยา แน่ๆ<br /><br />พรข้อที่สองคือ ขอให้ชนะเชลซีได้มากกว่า ปีละครั้ง สองปีที่ผ่านมาเหมือนกับว่าหงส์ได้รับโควต้ามาปีละครั้ง หงส์เลยเลือกใช้ในวาระที่สร้างความเจ็บแสบให้กับเชลซีได้มากที่สุด นั่นคือชนะในการดวลแข้งรอบรองชนะเลิศบอลถ้วยทั้งสองปี (ในปีนี้ขอให้หงส์ชนะเชลซีในบอลลีกบ้าง อย่าช่วยแจกหกแต้มเหมือนสองปีที่ผ่านมาอีกนะ)<br /><br />ยังไม่ทราบเลยว่าพรทั้งสองข้อจะได้รับอนุมัติจากพระเจ้าหรือไม่ ผมจึงได้แต่หวังว่า หงส์คงไม่เลือกใช้โควต้าที่มีอยู่ในเกมคอมมิวนิตี้ ชิวด์กับเชลซีในวันอาทิตย์นี้ซะก่อน บอลลีกกำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่วัน รอเอาไปใช้ตอนเจอกันในลีกจะมีประโยชน์กว่านะครับ ฟันธงเลยอาทิตย์นี้ เชลซี 3 ลิเวอร์พูล 2The Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com293tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1154276882912984052006-07-30T22:58:00.000+07:002006-07-31T08:35:11.266+07:00สิงหาคม กับ Season Previewอีกไม่กี่วันเดือนสิงหาคมจะเวียนกลับมาแล้ว<br /><br />ทุกๆปี หลายคนรอคอยการกลับมาของเดือนนี้ เพราะเศษเสี้ยวบางส่วนของชีวิตที่ขาดหายไปในช่วงสองสามเดือนก่อนหน้า จะได้รับการเติมเต็มอีกครั้ง<br /><br />ทุกค่ำคืนของวันหยุดสุดสัปดาห์ เวลาและลมหายใจของพวกเขาเหล่านั้นจะถูกเชื่อมต่อ กับเหตุการณ์ในสังเวียนแข้งพรีเมียร์ชิพของอังกฤษ โดยมีสตูดิโอของ ESPN ในสิงคโปร์ เป็นทางผ่าน <br /><br />ผมรู้สึกโหยหาถึงเกมลูกหนังพรีเมียร์ลีกของอังกฤษอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าเป็นผลสืบเนื่องจากการเฝ้าติดตามชมฟุตบอลโลก 2006 แบบไร้อารมณ์ร่วม หรือเปล่า <br /><br />รู้แต่ว่า การติดตามดูฟุตบอลโลกปีนี้ มันขาด passion<br /><br />ไม่เหมือนกับความรู้สึกและอารมณ์ที่มีเวลาเชียร์ ทีมจากซีกสีแดงของลุ่มแม่น้ำเมอร์ซี่ เพราะไม่มีชัยชนะของทีมไหนในฟุตบอลโลกปีนี้ ที่ทำให้ผมรู้สึกปิติ และอิ่มเอิบได้เหมือนเวลาที่ลิเวอร์พูลมีชัยในการแข่งขัน และก็ไม่มีความพ่ายแพ้ของทีมใดในฟุตบอลโลกนี้เช่นกัน ที่จะทำให้ผมรู้สึกสะใจ และสมน้ำหน้า เหมือนกับเวลาที่เห็น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดปราชัย<br /><br />เมื่อเดือนสิงหาคมกลับมา อารมณ์ของผม มันจะแปรปรวน อ่อนไหว ไปตามผลการแข่งขัน ของลิเวอร์พูลอีกครั้ง<br /><br />ยินดีแทบบ้า เวลาหงส์แดงเล่นดี และมีชัย <br /><br />อยากร้องไห้ เวลาหงส์แดงเล่นดี แต่ดันแพ้<br /><br />และอยากเลิกดูบอลไปเลย เวลาที่หงส์ทั้งแพ้และเล่นห่วย<br /><br />อารมณ์จะกลับไปกลับมาแบบนี้ ตลอดทั้งฤดูกาล<br /><br />จวบจนเมื่อฤดูกาลฟาดแข้งปิดฉากลงในเดือนพฤษภาคมปีหน้านั่นแหละครับ ผมถึงจะได้อยู่กับ จิตที่นิ่งสงบ ไม่มีผลฟุตบอลมากระทบให้ใจต้องแกว่งไปมาแต่อย่างใด <br /><br />วัฏจักรของอารมณ์คนรักบอลจะเป็นเช่นนี้ โดยทุกๆสองปีจะมีทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ๆมาแทรกในเดือนมิถุนายน เพียงเพื่อช่วยเติมเชื้อไฟให้ หัวใจยังโหยหา เดือนสิงหาคมอยู่ไม่เสื่อมคลาย<br /><br />ฤดูกาล 2006/2007 ที่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้ จะเป็นบททดสอบที่สำคัญของทีมใหญ่ทั้งสี่ ไม่ว่าจะเป็นเชลซี แมนฯ ยูไนเต็ด ลิเวอร์พูล และอาร์เซน่อล (อาจรวมไปถึงสเปอร์ด้วย)<br /><br />สำหรับ เชลซีแล้ว ถ้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีนี้ คือถ้วยที่มีความสำคัญมากที่สุด ในความเห็นของผม ยิ่งกว่าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกเสียอีก<br /><br />แชมป์แรกเมื่อสองปีก่อนนั้น ยุติการรอคอยตำแหน่งแชมป์ในลีกสูงสุดที่ทีมไม่เคยได้สัมผัสเลยตลอดแปดสิบกว่าปี<br /><br />แชมป์ที่สองเมื่อปีก่อน แสดงให้โลกเห็นว่า พวกเขาไม่ใช่ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ ที่ใช้เงินซื้อแชมป์ได้แค่ตรั้งเดียว แล้วก็ถอยกลับไปอยู่ในที่ๆควรอยู่ นอกจากนี้ การได้แชมป์พรีเมียร์ชิพสองปีติดต่อกัน ทำให้ทีมของโชเซ่ มูรินโญ่ สามารถข่มทีมร่วมเมืองอย่าง อาร์เซน่อล ที่แม้จะได้แชมป์มาก่อน แต่ไม่เคยพิชิตแชมป์ลีกได้สองปีติดต่อกันเลย<br /><br />แต่เท่านั้นยังไม่พอ<br /><br />ความสำคัญของการเป็นแชมป์สามปีติดกันคือ หนึ่ง เป็นสิ่งที่เซอร์ อเล็กซ์ และแมนฯ ยูไนเต็ด ไม่เคยทำได้ ไม่ว่าเซอร์ อเล็กซ์จะประสบความสำเร็จในการคุมทีมในเกาะอังกฤษมามากเพียงใด สิ่งหนึ่งที่เขาไม่สามารถทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ดทาบเกียรติยศในอดีตของลิเวอร์พูลได้ก็คือ การพิชิตแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ สามปีติดต่อกัน <br /><br />สอง เชลซีเป็นทีมที่ไร้ซึ่งความโรแมนติค แม้ว่าจะได้แชมป์ลีกติดต่อกันถึงสองปีซ้อน แต่ไม่มีใครพูดถึงเชลซีแบบชื่นชม หรือให้เครดิตกับทีมในความสำเร็จที่ได้รับ สาเหตุอาจเนื่องมาจาก ชัยชนะที่ได้ในฟุตบอลลีกนั้น มาจากการวางแผนการเล่นที่หวังผลเป็นหลัก จึงทำให้รูปเกมที่ออกมาไม่น่าตื่นเต้น ไม่ชวนติดตาม ประหนึ่งว่าผลการแข่งขันนั้น "สั่งได้" <br /><br />มูรินโญ่คงน้อยเนื้อต่ำใจในความไร้เสน่ห์ของเชลซีพอสมควร ถึงกับออกปากว่า ในวันที่เชลซีฉลองแชมป์ บนหน้าหนังสือพิมพ์กีฬากลับวางภาพของเชลซีไว้ตรงมุมด้านล่าง เปิดพื้นที่ส่วนใหญ่ให้กับชัยชนะของลิเวอร์พูลในศึกเอฟเอคัพ<br /><br />ดังนั้น หนทางเดียวที่จะนำความโรแมนติคมาสู่เชลซี และทำให้ชื่อเชลซีถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ลูกหนังอังกฤษได้ตลอดไปคือ ต้องเป็นแชมป์สมัยที่สามติดต่อกันให้ได้ <br /><br />จะเห็นได้ว่า เชลซีลงทุนซื้อนักเตะระดับโลกพร้อมๆกันหลายคนมาเสริมทัพ ทั้งๆที่กองกำลังที่มีอยู่แล้ว ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการป้องกันแชมป์สมัยที่สาม ผมเชื่อว่า การซื้อบัลลัค หรือเชพเชงโก้ ไม่ใช่การดำเนินการเพื่อเหตุผลทางการตลาด แต่เป็นเพราะต้องการความชัวร์ ในการจบสกอร์ และสามแต้ม ในฟุตบอลลีกมากกว่า<br /><br />ปฏิบัติการล่าฝันของเชลซีจะเป็นจริงได้หรือไม่ ก็คงขึ้นอยู่กับว่า สามสี่ทีมที่เอ่ยชื่อมาข้างต้นจะมีปัญญาขัดขวางเชลซี ได้แค่ไหน<br /><br />ในฐานะรองแชมป์ของปีที่แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด น่าจะเป็นทีมที่มีโอกาสสูงที่สุดในการไล่บี้กับเชลซี แต่มาถึงวันนี้ แมนฯ ยูฯได้เพียง ไมเคิล คาร์ริค มาเสริมแดนกลาง และขายศูนย์หน้าดาวซัลโวประจำทีมอย่าง รุด ฟานนิสเตลรอย ออกไป<br /><br />หากจะแย่งแชมป์กับเชลซีด้วยการเสริมทัพแค่นี้ละก็ พูดแบบนายกฯ ตอนตอบโต้ ปชป ที่ขอ 200 เสียงสมัยเลือกตั้งทั่วไปปี 47 ได้เลยว่า "รอชาติหน้าบ่ายๆ"<br /><br />ของที่มีอยู่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้ดีเหมือนปีที่แล้วนะครับ ไรอัน กิ๊กส์ พอล สโคลล์ แกรี่ เนวิลล์ แล้วยังมี โซลชาอีก พวกนี้คือยอดขุนพลแห่งวันเวลาอันเกรียงไกรในอดีต แต่ปัจจุบันนั้น เขาเหล่านี้ไม่อยู่ในฐานะที่จะขับเคลื่อนทีมไล่ล่าเชลซีได้<br /><br />ไรอัน กิ๊กส์ ผู้ได้รับฉายา "ปีกพ่อมด" จากลีลาลากเลี้อยในอดีต ที่สามารถแหวกฝ่าแนวรับของทุกทีมในโลก ได้ดุจร่ายมนต์วิเศษ มาในวันนี้ มนต์พ่อมดที่ กิ๊กส์ใช้ประจำในสนามแข่งคือ วิชาหายตัว ที่เสกให้เขาหายไปจากเกมอย่างไร้ร่องรอย <br /><br />นักเตะคู่บารมีเฟอร์กี้เหล่านี้ สั่งสมประสอบการณ์ในสังเวียนแข้งมากว่า สิบปี สิ่งที่อยู่ในคลังสมองของพวกเขากลับมีความสำคัญต่อทีมในวันนี้ น้อยกว่าพลกำลัง และความหิวกระหายในความสำเร็จของนักเตะรุ่นหนุ่มกว่า น่าเสียดายที่ในทีม แมนฯ ยูฯ นั้นมีเพียง เวย์น รูนี่ย์เท่านั้นที่เป็นผีรุ่นใหม่ที่พอจะพึ่งพาอาศัยได้เพียงผู้เดียว<br /><br />เชื่อเหลือเกินว่า ในปีนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะไม่มีเมเจอร์โทรฟี่มาประดับชั้นวาง และปีนี้ จะเป็นปีสุดท้ายที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันทำหน้าที่กุนซือของทีม<br /><br />สำหรับสองทีมร่วมเมืองลอนดอน อย่างอาร์เซน่อล และสเปอร์นั้น ต่างอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ผลัดใบ ถ่ายเลือด ทีมปืนใหญ่ที่ย้ายบ้านจากไฮบิวรี่ มาสู่อามิเรตต์ สเตเดี้ยม ในฤดูกาลนี้ กำลังเข้าสู่ยุค Post Bergkamp-Campbell หลังจากที่ผ่านยุค Post Viera มาโดยมีตำแหน่งรองแชมป์ยุโรปมาปลอบใจ<br /><br />ในขณะที่สเปอร์ กำลังเร่งเสริมทัพ ผ่าตัดทีมเป็นการใหญ่ เชื่อว่า กระบวนการค้นหาร่างใหม่ของสเปอร์จะยังคงดำเนินต่อไป ภายหลังจากได้งบประมาณชอปปิ้ง มาเพิ่มภายหลังจากการขายคาร์ริค ให้แมนฯ ยูฯ ในราคาที่สูงกว่าปัจจัยพื้นฐานประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์<br /><br />ทั้งสองทีมนี้ คงไม่อยู่ในฐานะที่จะขัดขวางความก้าวหน้าของเชลซีในฤดูกาลนี้ได้ แม้ว่าอาร์เซน่อลจะดูมีโอกาสมากที่สุด ก็ตาม (ขอทำนายไว้ล่วงหน้าว่า ถ้าแมนฯ ยูฯ ไม่มีการเสริมทัพที่ดีพอ อันดับในลีกเมื่อจบฤดูกาลจะอยู่หลังอาร์เซน่อล และนั่นหมายความว่า ในฤดูกาลหน้า แมนณ ยูฯต้องไปเล่นรอบคัดเลือก แชมเปี้ยนส์ลีก)<br /><br />เหลืออีกหนึ่งทีม ที่ผมคาดว่าจะบดกับเชลซีจนถึงวันสุดท้ายของฤดูกาล และมีสิทธิสูงที่จะดับฝันของมูรินโญ่ ขอเก็บเอาไว้คราวหน้าครับThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1148881010666548762006-05-29T12:06:00.000+07:002006-05-29T12:36:50.680+07:00My Brickเมื่อวันก่อน เผลอตัวไปสารภาพกลางที่สาธารณะ ถึง My newly acquired taste<br /><br />แบบว่า เดี๋ยวนี้กลายเป็นคนเสพติด Design ไปแล้ว (หรือว่าเป็นมานานแล้วก้อไม่รู้)<br /><br />เห็นข้าวของเครื่องใช้ที่ออกแบบสวยๆแปลกๆ แล้วมันอดใจไม่ค่อยได้<br /><br />เรื่องมีอยู่ว่า วันหนึ่ง ผมพลัดหลงไปในร้านแอปเปิ้ลร้านหนึ่ง เจอกล่องนี้เข้าครับ<br /><br /><a href="http://photos1.blogger.com/blogger/7438/935/1600/DSC00049.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/blogger/7438/935/320/DSC00049.jpg" border="0" alt="" /></a><br /><br />ฮาร์ดดิสก์ของ Lacie ความจุ 300 GB รุ่น Brick สีน้ำเงิน<br /><br />ออกแบบโดย Ora-Ito (ในฐานะคนที่มีอาชีพเป็นเรือจ้างและอยู่นอกวงการออกแบบผลิตภัณฑ์ บอกได้ว่า ไม่ทราบจริงๆว่า นักออกแบบผู้นี้มีผลงานอะไรอีกบ้าง เท่าที่เปิดหาจาก Google พวกบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Heineken Adidas ฯลฯ ต่างเคยว่าจ้างบริษัทของเขาออกแบบงานมาแล้วทั้งนั้น ใครรู้จักช่วยสงเคราะห์ให้ความรู้บ้างก้อดีนะครับ)<br /><br />ตาลุกเลยครับ<br /><br />ผมเคยเห็นในหนังสือ แมกาซีนมาก่อน แต่ไม่นึกว่าจะมีใครเอามาขาย<br /><br />ทำไมผมถึงตื่นเต้นกับมันหรือครับ ดูภาพนี้สิครับ<br /><br /><a href="http://photos1.blogger.com/blogger/7438/935/1600/hd_brickdesktop_stack.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/blogger/7438/935/320/hd_brickdesktop_stack.jpg" border="0" alt="" /></a><br /><br />ภาพนี้เป็นการนำ Brick สามตัวมาเรียงต่อกัน มองเผินๆนึกว่าตัว Lego สามชิ้น สีแดง ขาว และน้ำเงิน<br /><br />ครับเขาจงใจออกแบบให้เหมือนตัว Lego นั่นแหละ<br /><br />ออกแบบมาได้น่าใช้มากเลยนะครับ ผมอดรนทนไม่ได้ยอมควักกระเป๋าจ่ายเงินซื้อมาทันที (จริงๆต้องวิ่งไปกด ATM ด้วยครับ ปกติไม่พกเงินสดมากพอที่จะซื้อ Harddisk 300GB หรอกครับ)<br /><br />พอกลับมาบ้าน ผมก็จัดการต่อของเล่นใหม่กับโน็ตบุ๊คคู่ชีพทันที จัดการถ่ายโอน ไฟล์เพลง เอกสารต่างๆ รวมทั้งรูปภาพ (รู้สึกว่าจะมี folder หนังน้องแอนนา ด้วยนะ) <br /><br />โน้ตบุ็คผมตัวเบาลงเยอะ ส่วนผมกระเป๋าเงินก็เบาลงไปด้วยเหมือนกันThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1148876412058135362006-05-29T11:19:00.000+07:002006-05-29T13:27:16.800+07:00รูนี่ย์กับโอกาสของทีมชาติอังกฤษอีกไม่ถึงสิบวันฟุตบอลโลกครั้งที่ 18 จะได้ฤกษ์ระเบิดแข้งขึ้นที่ ประเทศเยอรมันนีแล้ว แม้ว่าทีมชาติไทยจะไม่ได้ไปร่วมแข่งในการแข่งขันรอบสุดท้ายนี้ด้วย แต่นั่นมิใช่อุปสรรคที่จะทำให้คอบอลชาวไทยขาดอรรถรสในการร่วมชมมหกรรมกีฬาครั้งยิ่งใหญ่ (ที่เวียนมาให้ชมทางจอโทรทัศน์แบบไม่มีโฆษณาคั่นอีกครั้ง)<br /><br />หากจะพิจารณาถึงทีมในดวงใจของชาวไทยจากบรรดา 32 ทีมที่ได้เข้าร่วมแข่งในรอบสุดท้ายนี้ ทีมชาติอังกฤษนั้นจัดได้ว่าเป็นทีมในระดับต้นๆเลยทีเดียว ด้วยเหตุที่นักเตะในทีมชาติชุดนี้ มีความใกล้ชิดกับคอบอลชาวไทยในปัจจุบันอย่างแนบแน่น <br /><br />ทุกสุดสัปดาห์ (และบ่อยครั้งในช่วงกลางดึกกลางสัปดาห์) แฟนบอลชาวไทยจะเฝ้าติดตามการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ชิพของอังกฤษกัน เราได้ชม และพลอยได้ซึมซับลีลาลูกหนังของนักเตะอังกฤษเข้าในสายเลือดโดยไม่รู้ตัว ถึงขั้นที่ เราสามารถหลับตาจัด 11 ตัวจริงที่จะลงสนาม พร้อมสำรองอีกห้าคนได้ ซึ่งเราไม่สามารถทำเช่นนี้กับทีมชาติอื่นๆ ได้แม้แต่ทีมชาติไทยของเราเอง <br /><br />ยิ่งไปกว่านั้น เรายังรู้สึกคุ้นเคยสนิทสนมกับนักเตะอังกฤษในระดับที่เราเรียกชื่อเล่นพวกเขาได้สนิทปาก อาทิ “แลมป์” “เบ็ค” “รูน” หรือ “เจิด” เป็นต้น (สำหรับชาติอื่นๆที่เราจะสนิทสนมด้วย ก็ต้องเป็นนักเตะระดับโลกจริงๆ ประเภท “เหยิน” หรือ “แหนม” เท่านั้น)<br /><br />ทีมชาติอังกฤษชุดนี้ดูจะมีความหวังในการคว้าแชมป์โลกมากที่สุด แม้ว่าความหวังนี้จะถูกแต่งแต้มและโหมกระพือสร้างกระแส ทั้งโดย นักข่าวชาวอังกฤษเอง และ ตัวผู้จัดการทีม(ล่าสุดยังมีการมาออกข่าวเองว่า มีสิทธิทะลุถึงรอบชิงด้วย) รวมไปถึง เปเล่ อดีตราชาลูกหนังโลก และเจ้าแห่งคำทำนายหายนะด้วย<br /><br />อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นของทีมชาติอังกฤษที่ถูกปั่นขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ได้ถูกเคราะห์ร้ายพุ่งชนปัจจัยพื้นฐาน ก่อนการแข่งขันในรอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ เมื่อเวย์น รูนี่ย์ กองหน้าวัย ยี่สิบปี จากทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประสบเหตุกระดูกข้อเท้าแตก ในเกมพรีเมียร์ชิพที่แข่งกับเชลซี อาการบาดเจ็บของรูนี่ย์นั้นทำให้เขาหมดสิทธิ(เกือบจะ 100 เปอร์เซ็นต์ )ในการลงเตะสามนัดในรอบแรก <br /><br />การคาดการณ์เกี่ยวกับโอกาสในการลงโชว์ผีเท้าของรูนี่ย์ถูกสะท้อนออกมาในรูปของอัตราต่อรองที่บริษัทรับพนันออนไลน์แห่งหนึ่งในประเทศอังกฤษ ให้ไว้กับแต่ละเกม โดยอัตราต่อรองที่ออกมาชี้ว่า รูนี่ย์มีสิทธิ์ไม่ได้ลงเล่นเลยสูงที่สุด ด้วยอัตรา 5/4 ในขณะที่โอกาสลงเล่นครบทั้งเจ็ดนัด (คือเล่นตั้งแต่รอบแรกไปจนถึงนัดชิง) อยู่ที่ 33/1 ซึ่งอัตรานี้ถ้าเทียบบัญญัติไตรยางค์ออกมา จะเท่ากับ 132/4 ผู้อ่านก็ลองเทียบกับโอกาสที่จะไม่ได้ลงเล่นสิครับ ว่ามันต่างกันแค่ไหน<br /><br />แต่กระนั้น สเวน โยรัน อีริคส์สัน ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษยังคงยืนยันที่จะหนีบเอาเวย์น รูนี่ย์ไปกับทีมด้วย เผื่อว่าในรอบลึกๆ ปาฏิหารย์อาจจะพอช่วยเข็นเวย์น รูนี่ย์ที่ “เกือบ” ฟิต ลงช่วยทีมได้ <br /><br />จะว่าไปอีริคส์สันมิใช่ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษรายแรกที่เลือกตัดสินใจเช่นนี้ เมื่อคราวฟุตบอลโลก 1982 ที่ประเทศสเปนนั้น รอน กรีนวู้ด ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษในยุคนั้น ต้องสูญเสีย เควิน คีแกน และเทรเวอร์ บรุ๊คกิ้ง สองคีย์แมนสำคัญ ไปก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้นไม่นาน เพราะอาการบาดเจ็บที่หลัง และสะโพกตามลำดับ<br /><br />กรีนวู้ดต้องจัดระบบใหม่เพื่อแก้ปัญหาการขาดนักเตะตัวหลักทั้งสอง และอังกฤษก็ทำได้ดีโดยผ่านรอบแรกได้อย่างฉลุย ชนะสามนัดรวดในรอบแรก ในรอบที่สองอังกฤษถูกจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันกับเยอรมัน และสเปนเจ้าภาพ ซึ่งผู้ชนะในกลุ่มจะได้ผ่านเข้ารอบไปเล่นในรอบตัดเชือก<br /><br />อังกฤษเสมอกับเยอรมันแบบโนสกอร์ ก่อนที่จะต้องเผชิญกับ “Mision Impossible” นั่นคือการโค่นเจ้าภาพเพื่อแซงเยอรมันเข้ารอบไป ในนัดนั้น คีแกนและบรุ๊คกิ้ง ได้มีโอกาสสัมผัสเกมประมาณ ยี่สิบเจ็ดนาที <br /><br />บรุ็คกิ้งต้องใช้เวลาร่วมยี่สิบนาที กว่าเขาจะสามารถบงการเกมให้อังกฤษได้ ในขณะที่ คีแกนมีโอกาสเป็นฮีโร่ พาอังกฤษเข้ารอบ จากโอกาสขึ้นโหม่งหน้าประตูที่ไม่มีใครประกบ แต่เขากลับขวิดบอลนั้นออกข้างเสาไปอย่างน่าเสียดาย เกมนั้นจบลงด้วยการเสมอกันไป ศูนย์ประตูต่อศูนย์ อังกฤษกลับบ้านโดยไม่แพ้ใคร แต่ก็ยิงใครไม่ได้เลยเช่นกันในรอบที่สองนี้<br /><br />จริงอยู่ที่ทั้งสองเป็นนักเตะมีระดับ และมีความสามารถพอที่จะพลิกเกมให้อังกฤษได้ แต่ความที่ทั้งสอบเจ็บมานาน และขาดความฟิต ทั้งสองจึงมิสามารถเคาะสนิมออกได้หมดในยามที่ต้องลงสนามช่วยทีม เวย์น รูนี่ย์อาจจะอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจาก คีแกนและบรุ็คกิ้งเท่าใดนัก หากอีริคส์สันโยนเขาลงสนามเพื่อช่วยทีมในยามคับขัน<br /><br />ทั้งนี้ทั้งนั้นย่อมขึ้นกับว่า อังกฤษจะไปได้ไกลแค่ไหนในช่วงเกมที่ไร้รูนี่ย์ หากอีริคส์สันเกิดค้นพบระบบการเล่นใหม่ที่สามารถพาทีมไปไกลได้โดยไม่ต้องพี่งรูนี่ย์ มันก็น่าคิดเหมือนกันว่า แล้วอีริคส์สันจะยอมเปลี่ยนระบบการเล่นและผู้เล่นที่ช่วยพาอังกฤษเข้ารอบลึกๆได้ เพียงเพราะมีผู้เล่นคนหนึ่ง เริ่มจะ”ฟิต” พอที่จะเล่นได้แล้ว กลับมาหรือเปล่าThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1147108467314881152006-05-08T23:03:00.000+07:002006-05-09T00:21:51.563+07:00World Cup Fantasyเมื่อสเวน โยรัน อีริคสัน ทำเรื่องอื้อฉาวอีกครั้งก่อนบอลโลกจะเริ่มฟาดแข้งเพียงไม่กี่สัปดาห์ เอฟเอของอังกฤษจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปลดเขาออกจากตำแหน่งในทันที แม้ว่าอังกฤษจะต้องเผชิญกับปัญหาที่หนักยิ่งกว่า ในการคัดสรรกุนซือคนใหม่เข้ามาคุมทีมแทน แต่ทว่าเหล่าบรรดากุนซือที่มีระดับทั้งหลายที่ว่างเว้นจากการคุมทีมระดับสโมสร ต่างจองทัวร์ไปเที่ยวพักผ่อนตากอากาศกันหมด โชคยังดีที่มีคนหัวใส แนะให้ทางเอฟเอ เลือกสรรกุนซือหน้าใหม่โดยอาศัยการทำทีมใน Football Manager เป็นตัวตัดสิน<br /><br />การค้นหาสิ้นสุดลงในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อเอฟเอประกาศเลือก Corgiman ผู้สามารถนำทีมลิเวอร์พูลเป็นแชมป์พรีเมียร์ชิพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกได้ในฤดูกาลแรกที่ทำทีม (แม้ว่าเขาจะเซฟเฉพาะเกมที่ทีมชนะเท่านั้นก็ตาม)<br /><br />Corgiman เริ่มงานในวันแรกด้วยการกล่าวท้าทายนักเตะตามสไตล์มูรินโญ่ "พวกคุณเคยเป็นแชมป์ลีก หรือแชมป์ยุโรปบ้างหรือเปล่า" เมื่อนักเตะส่วนใหญ่ตอบว่าเคย Corgiman จึงขอให้พวกเขาเหล่านั้นเล่าประสบการณ์ให้ฟังเพื่อเป็นวิทยาทาน<br /><br />ในวันต่อมา Corgiman ตัดนักเตะบางคนออก และเรียกนักเตะที่สื่อมวลชนอังกฤษไม่คาดคิดว่า จะอยู่ในข่าย22 ตัวจริงเข้าแคมป์ Corgiman ตัดไมเคิล โอเว่นออกจากทีม และเรียก ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ และสก็อต คาร์สัน เข้ามาติดทีมชุดใหญ่ เมื่อถูกสื่อมวลชนถามถึงเหตุผลที่ไม่เอา ไมเคิล โอเว่นไปเยอรมันด้วย Corgiman ยักไหล่และตอบไปว่า "ผมไม่เลือกนักเตะที่เห็นม้านั่งสำรองในทีมที่ไม่ได้แชมป์อะไรในสเปน ดีกว่าตำแหน่งตัวจริงในทีมแชมป์ยุโรปหรอกครับ" <br /><br />อย่างไรก็ดี Corgiman พาเวย์น รูนี่ย์ ไปเยอรมันด้วย <br /><br />......<br /><br />อังกฤษเริ่มต้นบอลโลกอย่างไม่สวยนัก Corgiman ใช้ปีเตอร์ เคร้าช์ เป็นหัวหอกตัวเดียว ในแผนการเล่น "ยอดเจดีย์" ของเขา ในแผนการเล่นนี้ Corgiman วางกองหลังไว้ถึงเจ็ดตัว ปีกซ้ายขวา และกองหน้าหนึ่ง แน่นอน เคร้าช์ต้องเป็นจุดปลายของยอดเจดีย์ <br /><br />Corgiman ให้เหตุผลว่า ในการแข่งกับทีมอย่าง ปารากวัย และตรินิแดด ที่เขาไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ ความรัดกุมของเกมรับต้องมาก่อน ผลการแข่งขันเป็นไปตามหมากที่วางไว้ โดยอังกฤษเสมอกับทั้งสองทีมไปแบบไร้สกอร์ ปีเตอร์ เคร้าช์สามารถส่งลูกหนังเข้าสู่ก้นตาข่ายได้ แต่ว่านั่นเป็นเหตุการณ์ภายหลังจากที่ผู้ตัดสินเป่านกหวีดหมดเวลาไปแล้ว<br /><br />ในนัดสุดท้ายของกลุ่ม อังกฤษต้องตัดสินชะตากับสวีเดน ความกดดันตกอยู่กับ Corgiman สื่อมวลชนอังกฤษเรียกร้องและขอร้องให้เขาเลิกใช้ระบบ "ยอดเจดีย์" โดยมีการร่วมกันล่ารายชื่อให้ใช้ระบบ "ต้นคริสต์มาส" หรือ "สามเหลี่ยมทองคำ" แทน<br /><br />Corgiman ยอมเปลี่ยนแผนการเล่น โดยเน้นเกมรุกมากขึ้น ...ทว่าผลการแข่งขันจบลงด้วยการเสมอกัน หนึ่งต่อหนึ่ง โดยอังกฤษได้ประตูจากการทำเข้าประตูตัวเองของกองหลังสวีเดน<br /><br />อย่างไรก็ดี ผลต่างประตูได้เสียของอังกฤษดีพอที่จะช่วยให้ทีมได้เข้ารอบ และปล่อยให้ตรินิแดด และปารากวัยต้องกลับบ้านไปอย่างน่าเจ็บใจ<br /><br />ในรอบสองนี้อังกฤษต้องเจอกับฝรั่งเศส ซึ่งมีทั้งซีดาน และอองรี Corgiman ยังเน้นให้ลูกทีมเล่นอย่างรัดกุมเหมือนเดิม ในช่วงท้ายเกม สกอร์ยังคงนิ่งที่ ศูนย์ต่อศูนย์ ก่อนที่กรรมการจะเป่านกหวีดหมดเวลาไม่กี่นาที อังกฤษได้ครองบอลอยู่นอกเขตโทษของฝรั่งเศส นักเตะทีมตราไก่ต่างไล่บี้ สตีเว่น เจอร์ราร์ดที่ครองบอลอยู่ ไอ้เจิดไม่รู้จะเลี้ยงไปทางไหนดี เลยส่งกลับให้ประตูฝรั่งเศส ทันใดนั้นเอง เธียรี่ อองรี ก็โผล่มาตัดลูกได้ และเลี้ยงบอลหลบ โกล์ฝรั่งเศสที่ออกมาจากเส้นประตู และแปนิ่มๆเข้าไป อังกฤษ 1 ฝรั่งเศส 0<br /><br />ในรอบตัดเชือก อังกฤษต้องโคจรมาพบกับ คู่ปรับเก่า อาร์เจนตินา นัดนี้คิม นีลเซ่น กรรมการชาวเดนมาร์ค ผู้เคยตัดสินคู่นี้เมื่อครั้ง ฟร้องซ์ 98 ได้มาทำหน้าที่ห้ามมวยอีกครั้ง เพียงนาทีแรก เครสโปได้บอลเลี้ยงเข้าในเขตโทษ และถูกจอห์น เทอร์รี่หยิกสีข้าง ล้มลง กรรมการเป่านกหวีดยาว ชี้ไปที่จุดโทษในทันที เบ็คแฮม เดินเข้ามาปรบมือให้กำลังใจผู้รักษาประตู เดวิด เจมส์ แต่ทว่ากรรมการตีความว่า การตบมือของเบ็คแฮมเป็นการตบมือประชดการตัดสิน จึงแจกใบแดงให้กับหนุ่มเบ็คส์ไป อังกฤษเหลือผู้เล่นเพียงสิบคนตั้งแต่นาทีแรก<br /><br />เครสโป ยิงลูกโทษข้ามคาน และบรรดากองหลังจากทีมอาร์เซน่อล พากันล้อมวงกางแขน ล้อเลียนศูนย์หน้าชาวอาร์เจนตินา ทำให้ผู้ตัดสินต้องแจกใบแดงให้กับกองหลังอังกฤษอีกสองใบ<br /><br />อาร์เจนตินามาได้ประตูขึ้นนำในนาทีที่สาม เมื่อเจมส์ ออกมาตัดลูกเตะมุมพลาด ทำให้ไลโอแนล เมสซี่ โดนขึ้นเหนือปีเตอร์ เคร้าช์ โหม่งบอลเข้าประตูอังกฤษไป อาร์เจนตินา 1 อังกฤษ 0<br /><br />เกมดำเนินไปด้วยความรุนแรง นักเตะต่างงัดลูกโหดมาใช้กันอย่างไม่เกรงกลัวใบแดง เพราะรู้ว่า กกต ยุคนี้ไม่กล้าแม้แต่จะแจกใบเหลือง<br /><br />ในช่วงห้านาทีสุดท้าย Corgiman ตัดสินใจส่งเวย์น รูนี่ย์ ที่เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บลงสนาม นี่คือการเดิมพันครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตผู้จัดการทีมฟุตบอลของ Corgiman<br /><br />สัมผัสแรกของรูนี่ย์คือการับบอลจาก เดวิด เจมส์ ที่โดนยิงอัดเข้าตรงเป้า จนจุก จึงปล่อยบอลให้รูนี่ย์ที่ลงมาดูอาการในเขตโทษเป็นคนเอาบอลไปเล่น รูนี่ย์ลากบอลจากเขตโทษของตัวเอง ผ่านผู้เล่นอาร์เจนติน่า คนแล้วคนเล่า แม้ว่าจะโดนเตะหนักแค่ไหน แต่รูนี่ย์ยังคงพาบอลไปเรื่อยๆ<br /><br />เขาลากบอลเข้าในเขตโทษ และเลี้ยงหลบผู้รักษาประตู ก่อนที่จะส่งบอลเข้าไปซุกที่ก้นตาข่าย อังกฤษตีเสมอได้ แต่ทว่า รูนี่ย์ ผู้ทำประตูกลับต้องสิ้นสุดอาชีพนักเตะลงเพียงเท่านี้ เขาแสดงความดีใจด้วยการวิ่งออกไปนอกสนาม และสะดุดขาตัวเองล้มลง ทำให้กระดูกเท้าแตกยับเป็นเสี่ยงๆ หมดหนทางเยียวยา<br /><br />Corgiman ตัดสินใจถอดรูนี่ย์ออก และส่งฟาวเลอร์ลงไปแทน อังกฤษฉวยโอกาสที่อาร์เจนตินาขวัญเสีย บอมบ์ลูกยาวใส่ในเขตโทษ<br /><br />โกล์อาร์เจนติน่าโดดขึ้นพร้อมๆกับกองหน้าอังกฤษ หมัดของโกล์อาร์เจนตินากระแทกกับกรามขวาของปีเตอร์ เคร้าช์ ในขณะที่ลูกบอลสัมผัสโดนบางสิ่ง และลอยเข้าสู่ประตูอันว่างเปล่า อังกฤษพลิกแซงอาร์เจนติน่า เข้าชิงชนะเลิศกับเยอรมันเจ้าภาพได้สำเร็จ เมื่อโทรทัศน์ทำการย้อนดูภาพช้าของเหตุการณ์ที่นำมาซึ่งประตูชัยของอังกฤษ ผู้ชมจึงได้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้ว สิ่งที่สัมผัสบอลให้ลอยเข้าประตูไปนั้นเป็นกำปั้นของผู้เล่นอังกฤษคนหนึ่งนั่นเอง<br /><br />หลังจบเกม ผู้สื่อข่าวต่างมารุมถาม Corgiman ถึงผู้ที่ทำประตูชัยให้อังกฤษ Corgiman ให้คำตอบที่สั้นและตรงกับความจริงที่สุด ว่า "It's a hand of God"<br /><br />ในนัดชิงชนะเลิศ อังกฤษตกอยู่ในสถานะลำบาก เพราะผู้เล่นติดโทษแดง และบาดเจ็บ (ส่วนผู้เล่นจากสเปอร์ ท้องเสียจนไม่มีแรงเล่น) จนเหลือผู้เล่น outfield ที่ลงสนามได้เพียง เจมี่ คาราเกอร์ สตีเว่น วอร์น็อค สตีเว่น เจอร์ราร์ด ปีเตอร์ เคร้าช์ และร็อบบี้ ฟาวเลอร์<br /><br />ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทีมแพทย์อังกฤษจึงใช้วิทยาศาสตร์การกีฬาสมัยใหม่ แก้ปัญหาให้กับทีม และสามารถช่วยให้ Corgiman จัดดรีมทีมของชาวเมอร์ซี่ไซด์ ลงในนัดชิงถ้วยบอลโลกได้<br /><br />รายนามผู้เล่นอังกฤษ มีดังนี้<br /><br />ประตู สก็อต คาร์สัน<br />กองหลัง เจมี่ คาราเกอร์ เจมี่ คาราเกอร์ เจมี่ คาราเกอร์ และ เจมี่ คาราเกอร์<br />กองกลาง สตีเว่น เจอร์ราร์ด สตีเว่น เจอร์ราร์ด สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ สตีเว่น เจอร์ราร์ด <br />กองหน้า ปีเตอร์ เคร้าช์ ร็อบบี้ ฟาวเลอร์<br /><br />สำรอง สตีเว่น วอร์น็อค สตีเว่น เจอร์ราร์ด(2) และ เจมี่ คาราเกอร์(2)<br /><br />อังกฤษ สามารถคุมเกมได้อย่างเบ็ดเสร็จ เยอรมันประสบปัญหาในการเผชิญหน้ากับผู้เล่นอังกฤษซ้ำๆกันทั้งในแดนกลาง และในแดนหลัง อังกฤษขึ้นนำก่อนถึง 4-0 จากการยิงของปีเตอร์ เคร้าช์คนเดียว แม้ว่า ลูกยิงทั้งสี่ลูกจะต้องนำเทปมาพิจารณากันอีกครั้งว่า เป็นการยิงของเคร้าช์ หรือการทำเข้าประตูตัวเองของผู้รักษาประตู<br /><br />กว่าที่เยอรมันจะส่ง ดีทมาร์ ฮาร์มัน ลงมาช่วยเพื่อนร่วมทีมแยกแยะว่า คนไหนคือ คาราเกอร์แบ็คซ้าย คนไหนคือคาราเกอร์เซนเตอร์ เกมก็ขาดไปเยอะแล้ว<br /><br />ช่วงท้ายเกม คาราเกอร์แบ็คซ้ายมีอาการบาดเจ็บ ทำให้ Corgiman ต้องเรียก สตีเว่น วอร์น็อค ลุกขึ้นมาวอร์ม ก่อนที่จะตัดสินในส่ง เจมี่ คาราเกอร์สำรอง ลงไปแทนเจมี่ คาราเกอร์ที่บาดเจ็บ<br /><br />จบเกม อังกฤษชนะ เยอรมันด้วยสกอร์ 4-0 ที่ภายหลังฟีฟ่าออกมายืนยันว่า ทั้งสี่ประตูเป็นของปีเตอร์ เคร้าช์เพียงประตูเดียว ส่วนอีกสามประตูเป็น แฮททริค ของเยนส์ เลห์มันThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1146160833169798192006-04-27T23:32:00.000+07:002006-04-28T09:47:53.370+07:00ใครเอ่ย The Cantona of Coaching.ด้วยเหตุใดไม่ทราบ หนังสือ World Soccer ฉบับเดือน พฤศจิกายน 2003 (ภาพปก ฮวน เวรอน ในเสื้อเชลซี) ถูกวางบนที่ชั้นที่ผมจัดไว้สำหรับหนังสือการ์ตูน <br /><br />เมื่อผมหยิบมันขึ้นมาพลิกดูเนื้อหาข้างใน ผมก็อดเพลิดเพลินไปกับ รูปภาพและข่าวคราววงการฟุตบอล ในห้วงเวลานั้นไม่ได้ มันไม่ต่างกับการที่ได้มีโอกาสย้อนกลับไปดูอดีต จากมุมมองปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทความของ Jim Holden ที่เป็นเสมือนตัวเชื่อมโยงวันเวลาแห่งอดีตกับโลกปัจจุบันได้อย่างบังเอิญที่สุด<br /><br />บทความดังกล่าวโปรยหัวไว้ว่า Wenger, the Cantona of coaching บทความนี้เขียนในขณะที่รอบแบ่งกลุ่มของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาลนั้น แข่งไปได้เพียงสองนัด โดยทีมของอาร์แซน เวงเกอร์ อยู่อันดับบ๊วยของตารางในกลุ่ม บี <br /><br />ทีมปืนใหญ่แข่งไปสองนัด แพ้อินเตอร์ในบ้านไปด้วยสกอร์น่าเอาปี๊ปคลุมหัว - สามศูนย์ และออกไปเสมอกับ โลโคโมทีฟ มอสโค แบบไร้สกอร์<br /><br />Jim Holden บอกว่า อาร์เซน เวงเกอร์ สามารถทำให้เกมรุกของอาร์เซน่อลมีสีสัน น่าตื่นตาตื่นใจ และเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ทีมประสบความสำเร็จอย่างสูงในพรีเมียร์ชิพ (ซึ่งในซีซั่นนั้นเอง ที่อาร์เซน่อลจบฤดูกาลในฐานะแชมป์ลีก ผู้ไม่พ่ายแพ้ให้แก่ทีมใดเลย) แต่ทว่ากุนซืออย่างเวงเกอร์ กลับไม่เคยประสบความสำเร็จในการทำทีมสู้ศึก UCL เลย เขาทำได้ดีที่สุดเพียง แค่พาทีมเข้าถึงรอบ Quarterfinal เท่านั้นเอง ทั้งๆที่เวงเกอร์นั้น จัดได้ว่าเป็นผู้มีประสบการณ์โชกโชนบนเส้นทางนี้ <br /><br />บทความดังกล่าวได้แสดงตัวเลขที่น่าสนใจประกอบ สถิติ ณ เวลานั้นชี้ว่า เวงเกอร์คุมทีมปืนใหญ่ในถ้วยนี้มาแล้ว 59 เกม อยู่ในอันดับที่หกของบรรดากุนซือที่ผ่านเกม UCL มากที่สุด โดยท่านเซอร์ แห่งโอลด์แทรฟฟอร์ด ครองอันดับหนึ่ง ด้วยจำนวนเกมทั้งหมด 95 เกม<br /><br />Holden เปรียบเวงเกอร์เหมือนกับคันโตน่า ที่แม้ว่าจะมีส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของแมน ยูฯในแผ่นดินอังกฤษ แต่ไม่เคยนำพาทีมให้เข้าชิงถ้วยใหญ่ของยุโรปได้เลย แม้แต่ครั้งเดียว แต่ครั้นเมื่อคันโตน่าเลิกอาชีพค้าแข้งกับแมน ยูฯเพียงฤดูกาลเดียว ทีมกลับสามารถพิชิตแชมป์ยุโรปได้สำเร็จ (พร้อมๆกับการเป็นทริปเปิ้ลแชมป์ในฤดูกาลเดียวกัน)<br /><br />การยกให้เวงเกอร์เป็นคันโตน่าแห่งการคุมทีม ย่อมหมายความว่า หากอาร์เซน่อลจะได้เป็นแชมป์ UCL แล้วไซร้ จักต้องหาโค้ชใหม่มาคุมทีมแทนเวงเกอร์สถานเดียว <br /><br />นั่นคือข้อสรุปของ Jim Holden เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2003<br /><br />เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา อาร์เซน่อลของเวงเกอร์สามารถฝ่าด่าน บียารีล แห่งสเปน เข้าไปชิงถ้วย UCL ที่ฝรั่งเศสในกลางเดือนหน้าได้สำเร็จ และเวงเกอร์กำลังจะทำให้สมญาที่ Jim Holden ตั้งให้เมื่อสามปีก่อนนั้นเป็นโมฆะไปในทันที หาก เธียรี่ อองรีได้เป็นคนแรกในทีมอาร์เซน่อลที่ชู Big Ear กลางสนาม สตาร์ด เดอ ฟรองซ์<br /><br />แฟนๆปืนใหญ่อย่าเพิ่งไปด่านาย Jim Holden นะครับ ในฐานะที่เอากุนซือมาดละเมียด ไปเปรียบกับ icon ของทีมสุดชังอย่างแมน ยูฯ ซ้ำยังสบประมาทอีกว่า ทีมปืนใหญ่ของเวงเกอร์จะไม่สามารถประสบความสำเร็จในถ้วยใบนี้ได้<br /><br />เพราะในบทความนี้ Jim Holden วิจารณ์ถึงสาเหตุที่ต้องกล่าวโทษอาร์เซน เวงเกอร์ว่าเป็นต้นตอของความล้มเหลวของทีม Holden ชี้ว่าแทกติคของอาร์เซน่อล ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ และตามคู่แข่งในบอลยุโรปได้อย่างเหมาะสม <br /><br />ซึ่งความสำเร็จในวันนี้ของอาร์เซน่อลนั้น มาจากการแก้ไขในแทกติคที่เคยผิดพลาดมาแต่ครั้งอดีต<br /><br />อาร์เซน่อลในวันนี้ ไม่ได้มีวันนี้ได้เพราะเกมรุกที่ลืนไหล และลีลาอันแพรวพราวของ อองรีเพียงอย่างเดียว อาร์เซน่อลมีดีกว่าตรงที่ปรับเกมให้เล่นเพื่อหวังผล เล่นเพื่อยันเสมอ เล่นเพื่อหวังปิดเกม ปิดสกอร์คู่ต่อสู้<br /><br />มีสถิติไม่เสียประตูเลยถึงสิบนัดติดต่อกัน ไม่ใช่ได้มาด้วยโชค (แม้โชคจะมีส่วนบ้างก็ตาม) สถิตินี้แสดงให้เห็นถึงการปรับจูน กลยุทธ์การเล่นในบอลยุโรป ที่มีประสิทธิภาพ <br /><br />น่าเสียดายที่ความเจนโลกของทีมอาร์เซน่อล จะไม่ส่งผลใดๆต่อโอกาสของทีมชาติอังกฤษในฟุตบอลโลก เพราะทีมอาร์เซน่อลถือสัญชาติอังกฤษ แต่ผู้เล่นในทีม ล้วนแล้วแต่ถือพาสปอร์ตคนต่างด้าวทั้งสิ้น ฝรั่งเศสบ้าง สเปนบ้าง ไอเวอร์โคสต์บ้าง คือถ้าคืนวันที่เตะกับ บียารีล โซล แคมเบล ไม่ลงเตะนะครับ ทั้งทีมจะไม่มีคนอังกฤษเลย<br /><br />ตรงนี้ที่ทำให้ปืนใหญ่ต่างกับ เชลซี ผีแดง และหงส์ เพราะหากทีมใดในสามทีมนี้เข้าชิง ผู้เล่นสัญชาติอังกฤษจะต้องอยู่ในทีม และมีโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มีความฮึกเหิมก่อนแข่งบอลโลกในฤดูร้อนนี้อย่างแน่นอน <br /><br /><br />ู่The Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com3tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1145334653743653272006-04-18T10:47:00.000+07:002006-04-21T09:34:20.163+07:00บทความเกี่ยวกับ John Nash และ Ariel Rubinstein ที่ยังเขียนไม่จบ1.<br /><br />ฉาก ผับในมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน<br />ตัวละครสำคัญ จอห์น แนช และเพื่อนนักศึกษาปริญญาเอกสาขาคณิตศาสตร์ ซึ่งกำลังนั่งดื่มเบียร์กันอยู่ภายในผับนั้น <br />เหตุการณ์ นักศึกษาสาวสี่คนได้เดินเข้ามาในผับดังกล่าว <br /><br />สาวน้อยทั้งสี่ตกเป็นเป้าสายตาของบรรดาหนุ่มๆในทันที<br />สาวสวยผมบลอนด์ดูจะเป็นคนที่ดึงดูดความสนใจจากผู้คนในผับได้มากที่สุด ผมสีบลอนด์ของเธอตัดกับผมสีบรูเน็ตต์ของผองเพื่อนที่เดินเข้ามาด้วยกันอย่างเด่นชัด เสริมให้ใบหน้าและรูปร่างที่ดูดีอยู่แล้วยิ่งโดดเด่นขึ้นอีก<br /><br />จอห์น แนชและผองเพื่อน ก็พากันมองเธออย่างไม่วางตาด้วยเช่นกัน<br />ในขณะที่ สาวผมบลอนด์คนนั้นทอดสายตามาทางโต๊ะของจอห์น แนช เขากลับนั่งนิ่งในท่าทางที่ใช้ความคิด ประหนึ่งกำลังหมกมุ่นกับการแก้ระบบสมการคณิตศาสตร์อันซับซ้อนอยู่ในใจ <br />จอห์น แนชนั่งครุ่นคิดอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางเสียงสรวลเสเฮฮาของเพื่อนฝูง ที่สัพยอกแนช เรื่องความไร้ซึ่งวาทะศิลป์ในการชวนสาวไปออกเดท<br /> <br />พลัน...จอห์น แนชกลับทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า ”อดัม สมิธ ต้องทบทวนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ของเขาเสียแล้ว”<br />แนช กล่าวถึง อดัม สมิธ บิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์ ในขณะที่เขายังคงนั่งในท่าเดิม สายตาเขายังคงจับอยู่ที่สาวผมบลอนด์ <br />“ถ้าหากเราทุกคน เข้าไปจีบสาวผมบลอนด์ พร้อมๆกัน พวกเราก็จะไปตัดโอกาสกันเอง...<br />..และจะไม่มีใครได้ออกเดท กับเธอ ...<br />เมื่อพวกเราหันไปจีบพวกเพื่อนๆเธอแทน ...พวกหล่อนจะเมินเราสิ้น เพราะพวกเธอต่างไม่อยากรับสภาพเป็นตัวเลือกที่สอง<br />ดังนั้น ถ้าพวกเราพร้อมใจกัน ไม่เข้าไปจีบสาวผมบลอนด์ ...เข้าไปเดทกับเหล่าสาวผมบรูเน็ตต์เลย<br />พวกเราจะไม่ทำลายโอกาสซึ่งกันและกัน และไม่ทำให้สาวๆที่เราเข้าไปจีบเสียความรู้สึกด้วย.... และนั่นคือทางเดียวที่พวกเราจะชนะ”<br /><br />จอห์น แนช พลันเปลี่ยนอากัปกิริยา หันมาอธิบายสิ่งที่เขาค้นพบ ให้กับเพื่อนๆฟัง ด้วยท่าทางที่ไม่ต่างจาก เด็กๆที่กำลังสนุกกับของเล่นที่ถูกใจ<br /><br />“อดัม สมิธ บอกว่า ผลลัพท์ที่ดีที่สุดสำหรับส่วนรวมจะเกิดจาก การที่แต่ละคนทำในสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง ใช่มั้ย? .... นั่นยังไม่สมบูรณ์ ..ยังไม่สมบูรณ์ เพราะการที่แต่ละคนทำแต่เพียงสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตนเองนั้น ไม่เพียงพอ แต่ละคนต้องทำในสิ่งที่ดีสำหรับกลุ่ม อีกด้วย”<br /><br />จาก ภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Mind ซึ่งสร้างโดยอิงจากหนังสือชื่อเดียวกันของ Sylvia Nasar <br /><br />2. <br /><br />จอห์น แนช ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 1994 จากผลงานวิชาการที่เขาเขียนไว้ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 50 <br />ด้วยผลงานทางวิชาการทั้งทางด้านคณิตศาสตร์ และเศรษฐศาสตร์ ที่ผลิตออกมาในช่วงเวลาสูงสุดของชีวิตการทำงาน แนชมีความเหมาะสมทุกประการที่จะถูกเรียกขานว่าเป็น “สุดยอดอัจฉริยะ” เขาเป็นหนึ่งเดียวในยุคนั้น ที่ได้รับการยกย่องสรรเสิญถึงขั้นว่าเป็นผู้กำหนดอนาคตวงการคณิตศาสตร์ ขนาดที่วารสารอย่าง Fortune ยังนำรูปของเขาขึ้นเป็นหน้าปกในปี 1958 อีกด้วย <br /><br />ในขณะที่ทั้งชีวิตการงานและชีวิตครอบครัวกำลังดำเนินไปด้วยดี โชคชะตาได้เล่นตลกพลิกผันชีวิตของเขา บันดาลให้เกิดอาการป่วยทางจิต ที่เรียกว่า Schizophrenia ส่งผลให้เขากลายเป็นบรุษที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอก หมกมุ่นอยู่กับการคิดถอดรหัสตัวเลขที่เขาเชื่อว่าถูกส่งมายังโลกโดยมนุษย์ต่างดาว <br /><br />แนชเริ่มแสดงท่าทางแปลกๆต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน และนักศึกษา เขาถูกคุกคามจากเสียงที่ไม่มีตัวตน แต่ดังกึกก้องเพียงในหัวของเขาเท่านั้น ผู้คนเริ่มถอยห่างออกจากแนช และพยายามไม่ใส่ใจในคำพูดหรือการกระทำของเขา ทีละเล็กทีละน้อย<br /><br />จอห์น แนชสูญเสียตำแหน่งทางวิชาการ และถูกถอดจากมหาวิทยาลัย M.I.T. เขากลายเป็นคนตกงาน และมีผลต่อเนื่องให้ชีวิตสมรสของเขาประสบปัญหาสั่นคลอน ในที่สุดชีวิตคู่ของเขากับภรรยาก็ต้องจบลงด้วยการหย่าร้าง (แม้ว่าทั้งคู่จะยังคงอยู่ด้วยกันจนถึงปัจจุบันก็ตาม) ชีวิตที่เคยมีอนาคตสวยหรูทอดรออยู่นั้น บัดนี้ได้ถูกอาการป่วยทางจิตทุบทำลายจนหมดสิ้น <br /><br />สิ่งที่ยังหลงเหลืออยู่ให้คนส่วนใหญ่ได้จดจำเกี่ยวกับตัวเขาจึงมีเพียง ผลงานวิชาการที่ทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนักคณิตศาสตร์รุ่นหลังต่างใช้เรียนกันอยู่ในมหาวิทยาลัยนั่นเอง<br />ผู้คนจำนวนมากมักคิดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว และหลายคนที่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ คิดว่าเขาคงไม่สามารถกลับมาดำเนินชีวิตอย่างปุถุชนปกติได้<br /><br />แต่แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น... หลังจากที่ภาวะทางจิตได้ทำลายชีวิตเขามานานร่วม 30 ปี เกิดบรรเทาความรุนแรงลง เสียงที่เคยดังกึกก้องในหัวเริ่มแผ่วเบาลง จอห์น แนชสามารถพูดคุย สื่อสารกับผู้คนได้อย่างปกติอีกครั้ง สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เขา “หายไป” จากโลกได้ <br /><br />เรื่องราวของจอห์น แนช เริ่มเป็นที่สนใจในวงกว้างภายหลังจากที่ Sylvia Nasar เขียนบทความที่มีความยาวขนาด 9 หน้ากระดาษ A4 ถ่ายทอดชีวประวัติของแนช ผู้ที่มีทั้งมิติของอัจฉริยบุคคล และมิติของผู้ป่วยโรคจิต ในวาระที่เขาได้รับรางวัลเกียรติยศของชีวิต ลงในหนังสือพิมพ์ New York Times ในปี 1994<br /> <br />บทความนี้สร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านเป็นอย่างมาก และส่งผลให้ Sylvia Nasar ใช้ระยะเวลาสองปีต่อมา ค้นคว้าหารายละเอียดในทุกซอกมุมของชีวิต จอห์น แนช เพิ่มเติม เพื่อเรียบเรียงเขียนเป็นหนังสือ “A Beautiful Mind: The Life of Mathematical Genius and Nobel Laureate John Nash” <br /><br />หนังสือเล่มนี้ได้กลายเป็นหนังสือขายดีติดอันดับ และถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สไตล์ฮอลลีวู้ด ที่ได้่ รัสเซล โครล มารับบทเป็นจอห์น แนช...<br /><br /><br />3. <br /><br />ทฤษฎีเกม ถูกคิดค้นขึ้นมาในยุคสมัยที่สันติสุขของมวลมนุษย์กำลังถูกคุกคามจากภาวะสงครามโลกครั้งที่สอง สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างประเทศมหาอำนาจในโลกที่หนึ่ง นำพาให้นักคณิตศาสตร์กลุ่มหนึ่งที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ประเทศสหรัฐฯ หันมาสนใจการวิเคราะห์สถานการณ์ของความขัดแย้ง ระหว่างบุคคลหลายฝ่าย เพื่อจะได้เข้าใจถึงทางออก และวิธีการยุติข้อขัดแย้ง <br /><br />นักเศรษฐศาสตร์ยังมิได้เปิดรับเอาทฤษฎีเกมเข้ามาเป็นองค์ความรู้ในกระแสหลัก จนกระทั่งภายหลังจาก จอห์น แนชได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัย สามชิ้นในช่วงปี 1950-1953 ทฤษฎีเกมจึงได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญของนักเศรษฐศาสตร์ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของบุคคล ที่มีปฏิสัมพันธ์กันในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมิใช่เพียงแต่ในสถานการณ์ที่เป็นความขัดแย้งกันระหว่างบุคคลเท่านั้น แต่ยังถูกขยายขอบเขตให้สามารถวิเคราะห์ถึง เหตุการณ์ที่บุคคลหลายฝ่าย ที่มีอำนาจในการตัดสินใจเป็นอิสระต่อกัน พยายามหาทางประสานความร่วมมือระหว่างกัน ได้อีกด้วย<br />ทั้งเหตุการณ์ความขัดแย้ง และเหตุการณ์ที่แสวงหาความร่วมมือ ระหว่างบุคคล ล้วนเป็นปรากฎการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจและการเมือง ที่เรามักพบเจอในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ<br /><br />การวิเคราะห์พฤติกรรมบุคคล ด้วยการจำลองสถานการณ์ความขัดแย้งหรือการแสวงหาความร่วมมือกันนั้น จะเป็นไปโดยง่ายยิ่งขึ้น หากเราใช้ชื่อเรียกองค์ประกอบในสถานการณ์ต่างๆด้วยชื่อที่เป็นกลาง เราจะเห็นได้ว่า สถานการณ์ความขัดแย้งของบุคคลสองฝ่าย มีส่วนละม้ายกับเกมกีฬาที่ผู้เล่นสองฝ่ายต่างเลือกกลยุทธ์การเล่นเพื่อให้ได้ชัยชนะเหนือคู่แข่ง ในทำนองเดียวกัน ปัญหาความร่วมมือประสานงานกันระหว่างบุคคลหลายฝ่าย ก็คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ที่ผู้เล่นในทีมเดียวกัน พยายามหากลยุทธ์การเล่น ที่จะเข้ากันได้ดีกับกลยุทธ์ของเพื่อนร่วมทีม โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือ ชัยชนะของทีม <br /><br />ดังนั้น คำว่า “เกม” จึงถูกนำมาใช้ในบริบทของทฤษฎี เพื่อเป็นตัวแทนหรือชื่อเรียกของสถานการณ์ใดๆที่เราสนใจจะวิเคราะห์ และคำว่า “ผู้เล่น” จะหมายถึงแต่ละบุคคลที่เกี่ยวข้องในเกม หรือในสถานการณ์ที่เรากำลังสนใจนั่นเอง โดยการวิเคราะห์ของนักทฤษฎีเกมนั้น จะสมมุติว่า ผุ้เล่นแต่ละรายจะเลือกใช้ “กลยุทธ์” ของตน โดยมีกระบวนการคิดวิเคราะห์ ที่เป็นเหตุเป็นผล มีระบบ<br /><br />นักเศรษฐศาสตร์จึงมอง สถานการณ์ที่ธุรกิจต่างวางกลยุทธ์เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดการค้า เป็น”เกม” และในเวลาเดียวกัน ก็มองว่า ความพยายามที่ฝ่ายคลังและฝ่ายธนาคารกลางต้องหาทางประสานนโยบาย เพื่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เป็นอีกหนึ่ง “เกม” เหมือนกัน<br /><br />4. <br /><br />ท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ใดๆ อาจมีทางออกที่เปิดกว้างไว้สำหรับการรอมชอมระหว่างผู้เล่น ที่สามารถให้ผลลัพท์ที่ดีกว่า สำหรับทุกๆฝ่ายได้ ในลักษณะเดียวกันกับ การทำสงครามระหว่างสองชาติมหาอำนาจ ที่ต่างอยากเป็นฝ่ายมีชัย แต่หากทั้งสองฝ่ายทุ่มกำลังเข้าห้ำหั่นกันโดยไม่ลดลาวาศอก ทั้งสองฝ่ายย่อมบอบช้ำเสียหายด้วยกันทั้งคู่ ตรงกันข้าม หากทั้งสองฝ่ายรอมชอมกันได้ ต่างฝ่ายต่างละเว้นจากการสู้รบ ความสูญเสียทั้งด้านชีวิตและทรัพยากรย่อมไม่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการดีกับทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ดี แม้ว่าการรอมชอมจะให้ผลดีกับทั้งสองฝ่าย แต่ในทางปฏิบัตินั้นยากที่จะเกิดขึ้นได้ ตัวอย่างเกมต่อไปนี้จะช่วยให้เข้าใจว่าเหตุใดที่การรอมชอม หรือสันติสุขจึงเกิดขึ้นได้ยากนักในทางปฏิบัติ<br /><br />เกมนี้ มีชื่อเรียกว่า Prisoner’s Dilemma โดยเรื่องราวของเกมนี้มีอยู่ว่า ผู้ต้องหาสองรายถูกจับจากการกระทำผิดซึ่งตำรวจเชื่อมั่นว่าทั้งคู่มีความผิดจริง หากแต่ยังไม่สามารถหาหลักฐานที่มัดตัวได้อย่างแน่นหนา ดังนั้นจึงมีเพียงการสอบปากคำผู้ต้องหาเท่านั้นที่จะทำให้ค้นพบความจริงได้ ตำรวจดำเนินการสอบปากคำโดย นำผู้ต้องหาทั้งสองไปแยกสอบสวนในห้องขังที่ผู้ต้องหาต่างไม่อาจติดต่อสื่อสารกันได้<br /><br />ตำรวจบอกกับผู้นักโทษแต่ละรายว่า คำสารภาพของทั้งสองจะมีผลต่อโทษทัณฑ์ที่ทั้งสองจะได้รับ กล่าวคือ หากผู้ต้องหาทั้งสองราย สารภาพว่าทำผิด ทั้งคู่จะติดคุกเพียง รายละสองปี หากผู้ต้องหารายใดรายหนึ่งสารภาพ ในขณะที่อีกคนปฏิเสธการกระทำผิดต่อกฎหมาย ผู้ที่สารภาพจะได้รับการปล่อยตัว ไม่ต้องติดคุกเลย ส่วนผู้ที่ปฏิเสธจะติดคุกเป็นเวลา ห้าปี และในกรณีสุดท้ายที่ทั้งคู่ปฏิเสธการกระทำผิด ผู้ต้องหาแต่ละคนจะติดคุกหนึ่งปี<br /> <br /><br />ในเกมนี้ มีผู้เล่นสองคน คือนักโทษทั้งสองราย แต่ละคนมีกลยุทธ์ในการเล่นเกมนี้ด้วยกัน สองกลยุทธ์ คือ “สารภาพ” และ “ปฏิเสธ” ผู้เล่นทั้งสองต้องเลือกกลยุทธ์การเล่นเกมของตนเอง โดยที่ไม่ทราบแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายหนึ่งนั้นเลือกเล่นกลยุทธ์ใด (เหมือนกับเวลาเล่น เป่ายิงฉุบ ที่ผู้เล่นต่างต้องเลือกออก กรรไกร ฆ้อน หรือ กระดาษ พร้อมๆกัน) <br /><br />แม้ว่าผู้เล่นทั้งสองจะต่างเลือกกลยุทธ์ของตนเอง โดยอิสระ แต่การเลือกนั้นต้องคำนึงด้วย ถึงการตัดสินใจของผู้เล่นอีกฝ่าย การคิดอย่างเป็นระบบ มีเหตุมีผล จะช่วยทำให้ผู้เล่นคิดได้ถึงผลลัพท์ที่จะเกิดขึ้น ในแต่ละทางเลือก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกกลยุทธ์ที่จะตอบโต้กลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้าม <br /><br />ในสถานการณ์ที่เรามีผู้เล่นสองฝ่ายที่ “ฉลาด” พอๆกัน มีวิธีคิดที่เหมือนกัน เป็นระบบ และมีเหตุมีผลเท่าเทียมกันเช่นนี้ เราจะสามารถหา “ผลลัพท์” ของเกมนี้ได้อย่างไร ...ในจุดนี้เอง ที่จอห์น แนชได้เสนอแนวทางการวิเคราะห์ไว้ในผลงานชิ้นสำคัญที่ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบล <br /><br />แนวคิดของแนช มีอยู่ว่า ผลลัพท์ของเกม หรือที่เราอาจเรียกได้ว่าเป็น “ดุลยภาพ” นั้นจะเกิดขึ้นเมื่อ ผู้เล่นแต่ละราย เลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุดของตน ในการตอบโต้กลยุทธ์ของผู้เล่นอื่นๆ <br /><br />ในเกม Prisoner’s Dilemma นี้ กลยุทธ์ “สารภาพ” เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ที่ผู้เล่นจะใช้ตอบโต้กลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้าม เพราะในกรณีที่อีกฝ่ายเลือกใช้ “สารภาพ” เหมือนกัน ผลลัพท์ที่ออกมาคือ ตัวเขาจะติดคุกสองปี ซึ่งดีกว่าการเลือกใช้กลยุทธ์ “ปฏิเสธ” ตอบโต้กลยุทธ์ “สารภาพ” ของคู่แข่ง อันจะส่งผลให้เขาติดคุก ห้าปี<br />ในทำนองเดียวกัน หากคู่แข่งใช้กลยุทธ์ “ปฎิเสธ” การ “สารภาพ” จะทำให้เขาไม่ติดคุกเลย ซึ่งดีกว่า การติดคุกหนึ่งปี (อันเป็นผลจากที่ผู้เล่นทั้งสองต่างเลือก “ปฏิเสธ”)<br /><br />เราจะเห็นได้ว่า ด้วยวิธีคิดแบบ แนช เราจะได้ “ดุลยภาพ” ที่ผู้เล่นแต่ละรายเลือก “สารภาพ” โดยแต่ละคนจะติดคุกกันคนละ สองปี ...แม้ว่า จะมีผลลัพท์อื่นที่ให้จำนวนปีของการติดคุกสำหรับทั้งสองที่น้อยกว่านี้ก็ตาม<br /><br />หากเรามองถึงผลลัพท์ที่ทั้งสองผู้เล่นเลือก “ปฏิเสธ” เราจะพบว่า ทั้งคู่ต้องรับโทษติดคุกเพียงรายละ หนึ่งปี ซึ่งต่ำกว่าโทษใน “ดุลยภาพตามแบบของแนช” แต่ด้วยเพราะกระบวนการคิดของแนช ที่บอกว่าผู้เล่นจะเลือกกลยุทธ์ที่ดีที่สุด ตอบโต้กลยุทธ์ของฝ่ายตรงข้ามนี่เอง ที่ทำให้ผู้เล่นทั้งสองไม่อาจเล่นกลยุทธ์ “ปฏิเสธ” ในดุลยภาพได้<br />เพราะหากฝ่ายตรงข้ามเล่น “ปฏิเสธ” เราจะไม่เลือกเล่น “ปฏิเสธ” ตอบโต้ เพราะผลได้จากทางเลือกนี้ตำ่กว่า การเลือกเล่น “สารภาพ” (เหมือนกับกรณ๊ของเกมสงคราม หากคู่ต่อสู้เลือกที่จะวางอาวุธ กลยุทธ์ที่จะให้ผลดีกับฝ่ายเรามากที่สุดคือ การโจมตี เพราะเราจะได้ชัยชนะเหนือฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ตอบโต้)<br /><br />แนวคิดของแนช ชี้ให้เห็นว่า กลยุทธ์ที่นำมาสู่ดุลยภาพที่ดีกว่า (เล่น “ปฏิเสธ” ทั้งคู่) นั้นยากจะปฏิบัติ เพราะผู้เล่นอีกฝ่ายมีแนวโน้มจะเลี่ยงไปเล่นกลยุทธ์อื่นที่มิได้อยู่ในดุลยภาพนี้ เรียกได้ว่า ดุลยภาพนี้เป็นสิ่งที่เปราะบางต่อการ “เบี้ยว” ต่อข้อตกลง หรือคำมั่นสัญญา เฉกเช่นกับในเกมสงคราม ที่หากไม่มีสนธิสัญญาปลดอาวุธแล้วไซร้ ยากที่จะมีการยุติสงครามโดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำการวางอาวุธโดยสมัครใจได้<br /><br />5.<br /><br />สถานการณ์ในเกม Prisoner’s Dilemma เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่สามารถใช้โต้แย้งแนวคิดว่าด้วย “มือที่มองไม่เห็น” (Invisible Hand) ของ อดัม สมิธได้เป็นอย่างดี แนวคิดนี้เชื่อว่า หากเราปล่อยให้ กลไกราคา ที่เกิดจากแรงผลักดันด้านอุปสงค์ และอุปทานของปัจเจกชน ผู้ตัดสินใจอย่างมีเหตุมีผล โดยมีประโยชน์แห่งตนเป็นที่ตั้ง ได้ทำหน้าที่ของมันโดยเสรีแล้ว ทรัพยากรในสังคม จะถูกจัดสรร จะสามารถจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้ <br /><br />ดังในประโยคที่ จอห์น แนช (แสดงโดย รัสเซล โครล) กล่าวไว้ในภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Mind เพราะนักโทษต่างใช้กลยุทธ์ที่ดีที่สุดของตน ในการเล่นเกมโต้ตอบกับผู้เล่นอีกฝ่าย แต่ทว่าผลลัพท์ที่เกิดขึ้นในดุลยภาพนั้น หาใช่ผลลัพท์ที่ดีที่สุดสำหรับทั้งคู่ไม่ ทั้งคู่อยู่ในสถานะที่จะเลือกกลยุทธ์อื่นเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีกว่า แต่ไม่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกอย่างเป็นอิสระ เสรี ตอบสนองต่อ Self-Interest ของผู้เล่น<br /><br />แม้ว่าภาพยนตร์จะนำสื่อให้เห็นข้อโต้แย้งนี้ ได้อย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรม แต่การวิเคราะห์ของแนช ถึงเรื่องกลยุทธ์การจีบสาว ในฉากนั้น กลับดำเนินไปภายใต้กรอบความคิดที่ ผิดเพี้ยน บิดเบือนไปจาก Nash Equilibrium โดยสิ้นเชิง...<br /><br />หากเรานำสถานการณ์ในผับ มาเรียบเรียงในภาษาของเกม โดยกำหนดให้มีผู้เล่นในเกมนี้เพียงสองคน คือ แนช กับ เพื่อน และกลยุทธ์ของผู้เล่นแต่ละรายคือ การเข้าจีบสาวผม “บลอนด์” กับ การเข้าจีบสาวผม “บรูเน็ตต์” <br />หากทั้งแนช และเพื่อน ต่างเลือก “บลอนด์” เหมือนกันทั้งคู่จะไม่ได้ออกเดท ตามที่แนช(รัสเซล โครล)วิเคราะห์ หากคนใดคนหนึ่ง เลือก “บลอนด์” ในขณะที่อีกฝ่ายเลือก “บรูเน็ตต์” ทั้งคู่จะได้เดทกับสาวที่ตนเลือก แต่คนที่เลือก “บรูเน็ตต์” จะมีความสุขในการเดทน้อยกว่า เพราะอิจฉาในความโชคดีของเพื่อน และหากทั้งคู่เลือก “บรูเน็ตต์” ทั้งคู่จะได้ออกเดท โดยไม่รู้สึกอิจฉากัน แต่จะรู้สึกเสียดายนิดๆที่ไม่ได้ควงสาวผมบลอนด์<br /><br /> <br /><br />แนช ในภาพยนตร์บอกว่า ทั้งคู่ควรเลือก “บรูเน็ตต์” เพื่อที่จะได้สมหวังกันทั้งคู่ แต่ทว่าหาก เพื่อนเลือก “บรูเน็ตต์” แล้วไซร้ กลยุทธ์ที่ดีที่สุด สำหรับแนชก็คือ “บลอนด์” มิใช่เล่น “บรูเน็ตต์” ตามเพื่อน (เพราะจะทำให้แนช ได้ออกเดท กับสาวผมบลอนด์) ฉันใดก็ฉันนั้น หากแนชเลือก “บรูเน็ตต์” เพื่อนของเขาก็ควรตอบโต้ด้วย “บลอนด์” เหมือนกัน <br /><br />ดังนั้น การที่ทั้งคู่เลือก “บรูเน็ตต์” จึงมิอาจเป็นดุลยภาพได้ เนื่องจากผู้เล่นแต่ละคนมีแรงจูงใจที่จะเลี่ยงไปเล่น “บลอนด์” แทน<br /><br />หาก จอห์น แนช ตัวจริง ได้มีโอกาสนั่งตรงที่ๆรัสเซล โครล นั่งวิเคราะห์เกมจีบสาวในผับนั้น แนชคงบอกกับเพื่อนๆ ของเขาว่า ใน Nash Equilibrium นั้น ผลลัพท์ที่เกิดขึ้นคือ ทุกคนจะเลือกเข้าไปจีบสาวผมบลอนด์ และสุดท้าย ทุกคนจะได้กิน“แห้ว” กันอย่างถ้วนหน้าThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1135527840924314302005-12-25T23:08:00.001+07:002006-04-12T11:36:42.243+07:00Merry X'Mas ครับวันนี้ขึ้นหัวทักทายด้วยวัฒนธรรมตะวันตกเลยครับ<br /><br />เป็นอารมณ์ต่อเนื่องจากที่ได้รับจดหมายไฟฟ้าเมื่อวันก่อน เปิดเข้าไปดูเห็นชื่อคนส่งเป็น Bob Geldof ถึงกับผงะเลยอ่ะครับ<br /><br />เปิดเข้าไปดูเลยรู้ว่าเป็นแค่การส่งต่อจดหมายโดยเว็ปมาสเตอร์ของ Live8 ในฐานะที่เคยไปลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องต่อผู้นำประเทศ G8 เมื่อคราวซัมมิทที่ Gleneagles<br /><br />มาคราวนี้เซอร์บ็อบชักจูงผมให้ไปร่วมส่งการ์ดอวยพร และเตือนความจำเหล่าท่านผู้นำ G8 ให้รักษาคำมั่นสัญญาที่ได้ให้ไว้ในการประชุมครั้งนั้น <br /><br />ตามประสาคนที่ถูกชักจูงได้ง่าย ผมก็ไปร่วมลงชื่อกับเค้าเรียบร้อยแล้วครับ<br /><br />ใครอยากส่งการ์ดตามไปมั่งก็ใช้ลิงค์นี่ได้เลยนะครับ<br /><br />To send a greetings card to the G8 leaders, click here:<br />http://www.live8live.com/live8/campaign.do?code=x05<br /><br />ถ้าพูดถึงคริสต์มาส เราก็ต้องนึกถึงซานตา คลอส และของขวัญที่ถูกใส่ไว้ในถุงเท้าปลายเตียง<br /><br />อายุอานามขนาดผมเนี่ย คงไม่ต้องหวังของขวัญอะไรจากซานตา คลอสแล้ว<br /><br />อยากได้อะไรก็ซื้อเอง<br /><br />ลูกเมียอยากได้อะไร ..ก็ต้องทำหน้าที่ซื้อให้<br /><br />รับบทซานตา เองแล้ว<br /><br />สำหรับของขวัญสำหรับตัวเองในปีนี้ ผมได้นี่ครับ ไปซื้อมาเมื่อวัน Christmas Eve จากมาบุญครอง<br /><br />นี่ครับ รูปของของขวัญที่ผมซื้อให้ตัวเอง<br /><br /><a href="http://photos1.blogger.com/blogger/7438/935/1600/ta74515.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/blogger/7438/935/200/ta74515.jpg" border="0" alt="" /></a><br /><br />นี่คือ ปั็มลมที่ใช้สำหรับทำสีกันดั้มครับ รุ่นที่ผมซื้อมานี่ไม่มีแอร์บรัชมาด้วย แต่ไม่เป็นไร เพราะผมซื้อแอร์บรัชของ Iwata มาเก็บไว้ตั้งปีกว่าแล้ว<br /><br />แบบว่าอยากทำมานานแล้วครับ คิดมานานแล้วเหมือนกันว่า..<br /><br />คนในวัยสี่สิบกว่าๆเนี่ย ควรจะเริ่มหัดใช้แอร์บรัชพ่นสีกันดั้ม ยังงัยดี<br /><br />โชคดีที่ได้คำแนะนำจากคุณ หนุ่ม เจ้าของร้านพลาโม ชั้นสี่มาบุญครอง เลยมีข้อมูลเพียงพอที่ช่วยให้ตัดสินใจได้<br /><br />เมื่อคืนลองพ่นดูแล้ว ...สุดยอด<br /><br />ว่าไปแล้ว การใช้แอร์บรัชเนี่ย ง่ายกว่าเวลาที่เพ้นท์ด้วย พู่กัน หรือว่าพ่นสีด้วยลมกระป๋องมาก<br /><br />แถมงานที่ออกมาดูดีกว่า วิธีพ่นด้วยสีกระป๋องด้วย<br /><br />การทำความสะอาดอุปกรณ์ก็ไม่ยุ่งยาก ..อาจะป็นเพราะได้คำแนะนำที่ดีจากคุณหนุ่ม ซึ่งช่วยจัดหาอุปกรณ์ครบเซ็ทให้ผมอีกด้วย<br /><br />เมื่อคืน ผมลองหัดใช้แอร์บรัช ด้วยการพ่นรองพื้นสีดำไปก่อน แล้วลองใช้สีขาวพ่นทับ (จริงๆควรรอพ่นทับในวันรุ่งขึ้น แต่อารามที่อยากเล่นของใหม่อ่ะ เลยเอาแค่พอแห้งก็พ่นทับแล้ว) พยายามไล่สีให้เห็นแรเงา แต่ก็ยังทำได้ไม่ดี<br /><br />แต่ยังไงก็สนุกครับ ไม่เพียงแต่ผมที่สนุกสนานไปกับของเล่นใหม่ ลูกชายผมก็คึกคักไม่แพ้กัน<br /><br />เค้าชอบต่อพวกกันดั้มเป็นทุนอยู่แล้ว แถมยังชอบทำสีอีกด้วย<br /><br />คิดว่าอีกไม่นานคงมีตัวแอร์บรัช เพิ่มขึ้นมาอีกตัวแน่<br /><br />ไม่งั้นคงต้องเกิดศึกแย่งชิงกันกระหว่างพ่อลูกแน่นอนThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1134367700593866552005-12-12T13:05:00.000+07:002006-01-19T18:42:56.116+07:00ทบทวนกระแสพระราชดำรัสเรื่อง”เศรษฐกิจพอเพียง”พระราชดำรัสเนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 4 ธันวาคมที่ผ่านมานั้น มีข้อความบางตอนที่ได้ทรงฝากไว้ให้พสกนิกรชาวไทย และคณะรัฐบาล รำลึกถึงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงกันอีกครั้ง <br /><br />เมื่อใดก็ตามที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีกระแสพระราชดำรัสเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ต่อหน้าผู้นำรัฐบาลอย่าง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีคนนี้ นักวิจารณ์ทั้งหลายต่างพากันตีความกันไปได้ต่างๆนานาว่า รัฐบาลยังมิได้ดำเนินการตามแนวปรัชญาเศรษฐกจิพอเพียงอย่างครบถ้วนเป็นแน่แท้<br /><br />แนวคิดว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียงได้ปรากฎในพระราชดำรัสเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2540 ไม่กี่เดือนหลังจากที่ประเทศประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อแรกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงดำรัสถึงเศรษฐกิจพอเพียงนั้น หลายคนตีความไปว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั้นคือการพึ่งพาตนเอง และพาลสรุปไปเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่แยกตัวจากระบบตลาด หรือเศรษฐกิจโลกอย่างเด็ดขาดไปเลย<br /><br />ในปีต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงดำรัสถึงเศรษฐกิจพอเพียงอีกครั้ง ซึ่งในครานี้ กระแสพระราชดำรัสได้ช่วยให้พสกนิกรได้มีความเข้าใจที่ดีขึ้น เห็นอย่าชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่าแนวคิดของท่านนั้น หมายถึงอะไร <br /><br />ผู้เขียนจะขอยกเอาบางตอนของพระราชดำรัสในปี 2541 มาเสนอไว้ ณ ที่นี้ <br /><br />“..แต่ความจริงเศรษฐกิจพอเพียงนี้ กว้างขวางกว่า Self-sufficiency. คือ Self-sufficiency นั้นหมายความว่า ผลิตอะไรที่มีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอซื้อคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง (พึ่งตนเอง)… … แต่พอเพียงนี้มีความหมายกว้างขวางยิ่งกว่านี้อีก คือคำว่าพอก็เพียงพอ เพียงนี้ก็พอดังนั้นเอง. คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย. ถ้าทุกประเทศมีความคิด - อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ – มีความคิดว่า ทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข. พอเพียงนี้อาจจะมีมาก อาจจะมีของหรูหราก็ได้ แต่ว่าต้องไม่ไปเบียดเบียนคนอื่น. ต้องให้พอประมาณตามอัตภาพ พูดจาก็พอเพียง ทำอะไรก็พอเพียง ปฏิบัติตนก็พอเพียง…. ถ้า (หากต้องการเบียดเบียน) อย่างนั้นก็เดือดร้อนกันแน่ เพราะว่าอึดอัด จะทำให้ทะเลาะกัน. เมื่อมีการทะเลาะกัน ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย….. จากการทะเลาะด้วยวาจาก็กลายเป็นการทะเลาะด้วยกาย ซึ่งในที่สุดก็นำมาสู่ความเสียหาย เสียหายแก่ผู้ที่เป็นตัวละครทั้งสองคน. ถ้าเป็นหมู่ก็เลยเป็นการตีกันอย่างรุนแรงได้ ซึ่งจะทำให้คนอื่นอีกมากเดือดร้อน…. ฉะนั้น ความพอเพียงนี้ก็แปลว่า ความพอประมาณและความมีเหตุผล”<br /><br />ความในพระราชดำรัสตอนนี้ ให้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของไพร่ฟ้า พสกนิกรชาวไทย ในทุกสาขาอาชีพ และ ทุกระดับรายได้ ปวงชนชาวไทยสมควรที่จะอ่านกระแสพระราชดำรัสตอนนี้ ซำ้แล้วซำ้อีกจนขึ้นใจ และ นำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อการมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างแท้จริง ท่่ามกลางกระแสสังคมและเศรษฐกิจที่มักชักจูงเราให้หลงไหลไปกับความมั่งมี มั่งคั่งในทางวัตถุ ที่แม้ว่าจะรำ่รวยมากมายเพียงใด ก็มิอาจอิ่มเอมได้กับทรัพย์สินเงินทองที่มีในครอบครอง<br /><br />“ความรู้จักพอ” จึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยฉุดรั้งคนเราไม่ให้ถลำตัว ตกหลุมพรางของความโลภ และกิเลสตัณหา ที่มักทำให้เราละเลย มองข้าม “ความเสี่ยง” <br /><br />ความพอเพียงในลักษณะนี้ จึงเป็นเสมือนเครื่องมือช่วยบริหารความเสี่ยง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทานให้กับปวงชนชาวไทย <br /><br />อันที่จริงมนุษย์เราต่างก็แสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุกันมาตั้งแต่ยุคสมัยโบราณแล้ว แต่ทว่าในยุคสมัยที่การพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี ได้บ่มเพาะนิสัยให้ผู้คนชื่นชอบความรวดเร็ว และสะดวกสบาย จึงไม่น่าแปลกที่จะมีคนจำนวนไม่น้อย พยายามมองหาช่องทางที่จะให้ได้มาซึ่ง ความมั่งคั่งในแบบชั่วข้ามคืน <br /><br />วิถีเช่นนี้มักพาให้คนละเลยการประเมินความเสี่ยงอย่างถูกต้อง เช่นผู้ที่หวังรำ่รวยทางลัด โดยพึ่งพาอาศัยโชคจาก การเล่นหวย หรือเล่นการพนัน เขาเหล่านั้นมักมองเพียงว่า เงินที่เสียไปกับการเสี่ยงโชคนั้นเป็นเงินจำนวนน้อยนิดเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้ ตรรกะเยี่ยงนี้เมื่อผนวกเข้ากับโลภะ ช่วยกันกลบเกลื่อนข้อเท็จจริงที่ว่า โอกาสที่จะสูญเงินไปกับการพนันนั้นมีมากกว่าโอกาสได้เงินหลายเท่านัก <br /><br />สำหรับผู้เสี่ยงโชคที่มีรายได้แค่พอยังชีพนั้น อาจมองว่า การเสี่ยงโชคเช่นนี้ อาจเป็นเพียงความหวังหนึ่งเดียวที่พอจะเป็นไปได้จริง ที่จะช่วยยกระดับฐานะความเป็นอยู่ของเขาได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่อนิจจา พวกเขาอาจลืมไปว่า เงินที่เขาเสี่ยงโชคไปแต่ละครั้งนั้น แม้จะน้อยนิด แต่ก็เป็นสัดส่วนที่มากไม่เมื่อเทียบกับรายได้ที่เขาหาได้ในแต่ละวัน<br /><br />ดังนั้นผู้ที่เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียงได้ จะต้องเป็นคนมีเหตุมีผล คิดเป็น เมื่อเป็นเช่นนี้ คนผู้นั้นจะมีภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ ไม่ถูกชักจูงด้วยผลตอบแทนของการดำเนินการที่มีความเสี่ยงสูงโดยง่าย<br /><br />แต่เราต่างก็ทราบดีว่า ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีความคิดความอ่านดีพอ หรือชาญฉลาดพอที่จะสร้่างภูมิคุ้มกันด้วยตัวเองได้ เมื่อปัจเจกชนขาดความสามารถที่จะดูแลตนเองอย่างเหมาะสม รัฐบาลจึงสมควรแสดงบทบาทที่ช่วยเติมเต็มในส่วนที่ประชาชนเหล่านั้นขาดไป<br /><br />เมื่อประชาชนไม่อาจประเมินความเสี่ยงได้อย่างถูกต้องเหมาะสม รัฐบาลก็ยิ่งไม่สมควรที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อให้คนเหล่านี้มีพฤติกรรมสุ่มเสี่ยง <br /><br />สิ่งที่ชี้ว่ารัฐบาลยังมิได้ตระหนักถึงบทบาทตนเองในเรื่องการสนับสนุนแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงคือ การที่รัฐบาลดึงเอาหวยใต้ดินขึ้นมาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย และดำเนินการจัดการ ให้เกิดเครือข่ายการซื้อขายจนเป็นธุรกิจใหญ่โต สร้างรายได้นอกงบประมาณให้กับรัฐบาลอย่างมากมายมหาศาล <br />จะว่าไปแล้ว รัฐบาลในขณะนี้ก็กำลังประสบปัญหาการประยุกต์ใช้ “เศรษฐกิจพอเพียง” กับการบริหารเงินทองเหมือนกัน ดังจะเห็นได้จากการที่รัฐบาลมีการขาดดุลเงินสด ในปีงบประมาณ 2548 เป็นจำนวนถึง 3หมื่น7พันล้านบาท โดยการขาดดุลเงินสดนี้ มีสาเหตุจากการที่รัฐบาลมีดุลเงินนอกงบประมาณขาดดุล สูงถึง 49,241 ล้านบาท การที่รัฐบาลประสบปัญหาเงินสดขาดมือ ก่อให้เกิดกระแสข่าว “รัฐบาลถังแตก” ในช่วงที่ผ่านมานั่นเอง<br /><br />เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลนี้มีแนวทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจเชิงรุก โดยใช้การใช้จ่ายของภาครัฐเป็นตัวกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นักวิชาการหลายคนแสดงความกังวลถึง ความยั่งยืนของกลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจในแนวทางนี้ เพราะการใช้จ่ายภาครัฐก็ไม่ต่างอะไรจากการใช้จ่ายของบุคคล หากใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่มีแล้ว ก็ต้องสร้างหนี้ขึ้นเพื่อจุนเจือการใช้จ่าย ฉันใดก็ฉันนั้น นักวิชาการหลายท่านกริ่งเกรงว่า หากรัฐบาลประเมินความเสี่ยงจากการจัดเก็บรายได้ไม่ตรงตามเป้าผิดพลาดไปแล้ว ผลที่ตามมาก็คือรัฐบาลจะต้องก่อหนี้สาธารณะเพิ่มมากขึ้น<br /><br />ซึ่งหนี้สาธารณะที่เพิ่มมากขึ้นนี้ มีความหมายทางเศรษฐศาสตร์ว่า ภาระภาษีสำหรับประชาชนที่ต้องแบกรับมากขึ้นเป็นเงาตามตัวในอนาคต<br /><br />อย่างไรก็ดี ข้อความที่ว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียงในกระแสพระราชดำรัสปีนี้ กลับมิได้พาดพิงถึงการจัดการงบประมาณแผ่นดิน หรือการหารายได้จากหวยใต้ดินแต่อย่างใด ในกระแสพระราชดำรัสกลับปรากฎข้อความว่า<br /><br />“..ท่านรองนายฯทั้งหลายอาจจะไม่ทำ เพราะว่าเคยชินกับเศรษฐกิจที่ต้องใช้เงินมาก ไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง ไม่พอเพียง นายกฯและคุณหญิง อาจจะให้เพื่อนนายกฯ รองนายกฯ ต่างๆ ทำเศรษฐกิจพอเพียงสักนิดหน่อย ก็จะทำให้อีก 40 ปี ประเทศชาติไปได้ แต่นี่ ก็มีแต่นายกฯ รองนายกฯ จัดการ รวมทั้งคู่สมรส ทำเศรษฐกิจพอเพียง ก็เชื่อว่าประเทศจะมีความประหยัดได้เยอะเหมือนกัน คือถ้าไม่ประหยัด ประเทศไปไม่ได้ คนอื่นไม่ประหยัด สำหรับคณะรัฐมนตรีประหยัด คณะรองนายกรัฐมนตรีประหยัด จะทำให้ไปได้ดีขึ้นเยอะ”<br /><br />เนื้อความในพระบรมราโชวาทนี้ มิใช่เป็นข้อคิดสำหรับ บุคคลที่อาจประสบปัญหาการประเมินความเสี่ยงผิดพลาด หรือสำหรับบุคคลที่มีอาชีพเกษตร ที่ต้องการชี้นำวิถีการเกษตรแบบทฤษฎีใหม่<br /><br />หากแต่เป็นเหล่าคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส ซึ่งต่างก็เป็นผู้มีฐานะดีด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งเชื่อได้ว่า คณะบุคคลเหล่านี้มีเงินเก็บเงินออม มากเกินกว่าที่จะต้องมาเสียเวลากังวลกับเรื่องความมั่นคงในชีวิตอีกต่อไปแล้ว<br /><br />มาถึงบรรทัดนี้ผมอดไม่ได้ที่จะย้อนกลับไปอ่านกระแสพระราชดำรัสเมื่อปี 2541 อีกครั้ง แล้วอ่านซ้ำไปซ้ำมาตรงเนื้อความที่ว่า “ทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่าพอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข.”The Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1133747048545520052005-12-05T08:39:00.000+07:002005-12-05T08:44:08.566+07:00Principle of Equivalent Trade“คนเราไม่สามารถที่จะได้อะไรมาโดยไม่เสียบางสิ่งบางอย่างไปเป็นการแลกเปลี่ยน ..<br /><br />การที่คนเราจะได้สิ่งใดมานั้นจำเป็นต้องแลกด้วยสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกัน<br /><br />...นี่คือกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันของการเล่นแร่แปรธาตุ”<br /><br />แอนิเมชั่นเรื่อง “แขนกลคนแปรธาตุ” หรือ Full Metal Alchemist ได้บัญญัติกฎนี้ไว้ ในเรื่องราวของสองพี่น้องตะกูลเอลริค ผู้เดินทางตามหาศิลานักปราชญ์ ในยุคสมัยที่การเล่นแร่แปรธาตุนั้นเป็นศาสตร์แขนงหนึ่ง ผู้มีความรู้ในศาสตร์แขนงนี้สามารถแปรเปลี่ยนสภาพวัตถุใดๆได้ดั่งเนรมิต ตราบเท่่าที่สรรพสิ่งที่ถูกแปรสภาพไปแล้วนั้นประกอบขึ้นจากสสารที่รวมกันเป็นตัววัตถุเมื่อเริ่มแรก<br /><br />ในปฐมบทของเรื่อง “แขนกลคนแปรธาตุ” นี้ อัลฟองเซ่ เอลริคนักแปรธาตุผู้น้องได้ทำการซ่อมวิทยุที่ชำรุดเสียหาย ด้วยการวาดวงแหวนเวทย์ แล้วทำการร่ายมนต์แปรสภาพให้วิทยุที่ชำรุดนั้นกลับมามีสภาพดังเดิม<br /><br />การแปรสภาพของที่ชำรุดให้กลับมาอยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ดีดังเดิมนั้น เป็นไปตามกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน เพราะวิทยุที่อยู่ในสภาพปกติ ประกอบด้วยสสารเดียวกันกับวิทยุที่อยู่ในสภาพชำรุด การแปรสภาพวัตถุที่เกิดขึ้นจึงมีความเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง <br /><br />จะเห็นได้ว่า ภายใต้กฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันนี้ นักเล่นแร่แปรธาตุไม่สามารถแปลงวัตถุหนึ่งๆ ให้กลายเป็นสิ่งของที่กอปรขึ้นจากสสารที่มีองค์ประกอบแตกต่างกันไปได้ เช่นไม่สามารถแปลงอาหารให้กลายเป็นรถยนตร์ได้<br /><br />ผู้ใดก็ตามที่กล่าวอ้างว่าตนเองอยู่เหนือกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันนี้ ย่อมเป็นผู้ที่ใช้กลอุบายบางประการหลอกลวงตบตาสาธารณชน<br /><br />ในวิชาเศรษฐศาสตร์นั้นก็มีกฎของการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันอยุ่ด้วยเช่นกัน<br /><br />คนที่เคยเรียนวิชาเศรษฐศาสตร์มาบ้างคงจดจำได้ว่า วิชาเศรษฐศาสตร์นั้นเกี่ยวข้องกับการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด<br />เพราะว่าเรามีหลากหลายทางเลือกในการใช้ทรัพยากร แต่เนื่องจากความมีอยู่อย่างจำกัดของทรัพยากรนั้น เราจึงต้องทำการเลือก <br /><br />เลือกว่า จะใช้ทรัพยากรนั้นๆไปในทางเลือกใด ในจำนวนเท่าไหร่ จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ตัวอย่างเช่น เวลาในหนึ่งวันถูกจำกัดไว้ที่ ยี่สิบสี่ชั่วโมง คนเรามีทางเลือกในการใช้เวลาได้มากมาย ไม่ว่าจะใช้เวลาที่มีเพื่อทำมาหากิน สร้างรายได้ หรือใช้เพื่อการพักผ่อน เที่ยวเตร่ เราอาจจะอยากให้เวลาที่มีกับทุกกิจกรรม อยากให้เวลากับการทำงานมากๆ เพื่อที่จะได้มีเงินเยอะๆ ในขณะเดียวกัน ก็อยากจะเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูง หรือคนรัก เพราะการใช้เวลากับการสังสรรค์เช่นนี้ ให้ความสุขกับเรา<br /><br />น่าเสียดายที่คนเราไม่สามารถได้ทุกอย่าง พร้อมๆกัน เพราะในหนึ่งวันนั้นมีเวลาจำกัดเพียงยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าหากเราใช้เวลากับการทำงานมากขึ้นอีกหนึ่งชั่วโมง นั่นหมายความว่า เวลาที่สามารถจัดสรรไปให้กับกิจกรรมอื่นๆได้นั้นจะลดลงไปหนึ่งชั่วโมงด้วย<br /><br />นักเศรษฐศาสตร์จึงมองว่า ในแต่ละทางเลือกของการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์นั้นมีต้นทุนของทางเลือกให้เราพิจารณาประกอบเสมอ เช่นต้นทุนของการใช้เวลาไปเที่ยวเตร่หนึ่งชั่วโมง อาจจะเป็นรายได้ที่หดหายไปจากการที่เรามิได้ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงนั้นไปเพื่อการทำงาน <br /><br />ในสายตาของนักเศรษฐศาสตร์ โอกาสที่สูญเสียไปนี้คือต้นทุน ซึ่งเราเรียกว่า ต้นทุนค่าเสียโอกาส หรือ Opportunity Cost นั่นเอง ทุกทางเลือกมี Opportunity Cost เสมอ <br /><br />ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของบุคคล นักเศรษฐศาสตร์จะสมมุติว่า คนคิดอย่างมีเหตุมีผล ดังนั้นการเลือกกระทำสิ่งใด บุคคลจะชั่งแล้วซึ่งผลได้และต้นทุนทางเลือก หากบุคคลเลือกที่จะใช้เวลา หนึ่งชั่วโมงถัดไปนี้ สำหรับการเที่ยวเตร่ นั่นย่อมหมายความว่า เขาได้ไตร่ตรองแล้วว่าผลได้ หรือความสุขที่ได้จากการใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงนั้นสำหรับการเที่ยว คุ้มกับต้นทุนค่าเสียโอกาสของการใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงนั้นไปกับกิจกรรมอื่นๆ<br /><br />หากความสุขที่ได้จากการเที่ยวเตร่หนึ่งชั่วโมงสูงกว่าต้นทุนค่าเสียโอกาส การจัดสรรเวลาให้กับการเที่ยวเตร่เพียงหนึ่งชั่วโมงอาจไม่เพียงพอ เราสมควรจัดสรรเวลาให้กับการเที่ยวเตร่ไปเรื่อยๆจนกว่าเราพบว่า ความสุขที่ได้จากการเที่ยวเตร่ในชั่วโมงท้ายสุดนี้ เท่ากับต้นทุนค่าเสียโอกาสพอดี <br /><br />นี่คือเกณฑ์ในการจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดของนักเศรษฐศาสตร์ ที่ไม่ต่างไปจากกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันของนักเล่นแร่แปรธาตุข้างต้น<br /><br />เกณฑ์การจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดนี้ใช้ได้กับทุกหน่วยเศรษฐกิจในสังคม ไม่ว่าจะเป็นบุคคล ครัวเรือน หน่วยผลิต หรือแม้กระทั่งรัฐบาล <br /><br />ยิ่งรัฐบาลในยุคสมัย “สี่ปีสร้าง” ภายหลังจาก “สี่ปีซ่อม” ด้วยแล้ว ยิ่งต้องคำนึงถึงเกณฑ์การจัดสรรทรัพยากรข้างต้น<br /><br />เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลได้มีอภิมหาโครงการลงทุนในสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศ ภายในระยะเวลาสามสี่ปีข้างหน้า แม้ว่าจำนวนเงินงบประมาณจะมากมายแค่ไหน แต่รัฐบาลก็ยังคงต้องพิจารณาถึงทางเลือกการใช้งบประมาณนั้นอยู่ดี<br /><br />รัฐบาลต้องไตร่ตรองถึงผลได้ของแต่ละโครงการ เที่ยบกับต้นทุนค่าเสียโอกาสของการจัดสรรเงินงบประมาณในโครงการนั้นๆ ให้กับโครงการสาธารณะอื่นๆ ซึ่งการพิจารณถึงผลได้ของแต่ละโครงการต้องมีการนับรวมเอาประโยชน์ (เช่นเดียวกับต้นทุน) ต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว (ทั้งที่วัดด้วยตัวเงินได้ และวัดไม่ได้) เข้าไว้ด้วยเสมอ<br /><br />โครงการใดๆก็ตามที่รัฐบาลตัดสินใจใส่เงินทุนไป ต้องเป็นโครงการที่รัฐบาล “ตอบ” สังคมได้ว่า คุ้มกับต้นทุนค่าเสียโอกาส <br /><br />นอกจากนี้ รัฐบาลจะต้องไม่ลืมว่า เงินงบประมาณจำนวนมหาศาลนี้ มีที่มาจากภาษีของประชาชน ยิ่งวงเงินงบประมาณมาก ประชาชนยิ่งต้องเสียภาษีมากเป็นเงาตามตัว อภิมหาโครงการมูลค่าล้านล้านบาทจึงมีความหมายเท่ากับอภิมหาภาษีมูลค่าล้านล้านบาท ฉันใดก็ฉันนั้น<br /><br />ดังนั้น สาธารณูปโภค หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมมูลค่ามหาศาล มิอาจเนรมิตขึ้นมาได้จากอากาศธาตุ ของเหล่านี้จะได้มา ต้องมีการแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งที่มีมูลค่าเท่าเทียมกัน หากจะผลักดันให้จีดีพีโตแบบก้าวกระโดด ด้วยการทุ่มเงินรัฐสร้างเมกะโปรเจ็ค รัฐบาลต้องแลกด้วยเงินภาษีของประชาชน (บวกกับการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ) <br /><br />ไม่มีทางที่เราจะฝืนกฎของการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันได้<br /><br />ในเอพิโสดแรกของ “แขนกลคนแปรธาตุ” นั้น สองพี่น้องเอลริคเดินทางเข้าไปยังหมู่บ้านหนึ่ง ที่ดูเสมือนว่า จะเป็นหมู่บ้านที่อุดมสมบูรณ์ ในหมู่บ้านนี้ มีวิหารของนักบวชผู้ทรงปาฏิหารย์เป็นศูนย์กลาง ผู้คนให้ความเชื่อถือในคำสอน และพร้อมจะทำทุกอย่างตามที่นักบวชผู้นั้นบัญชา โดยไร้ข้อกังขา<br /><br />สาเหตุที่ผู้คนเลื่อมใสในตัวนักบวชผู้นี้อย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น สืบเนื่องมาจากการที่เศรษฐกิจในหมู่บ้านนี้อยู่ในภาวะบอบช้ำ สูญเสียแรงงานชายไปกับภาวะสงคราม ผู้คนต่างอยู่ในภาวะหดหู่ หมดหวัง ก่อนที่นักบวชผู้นี้เข้ามายังหมู่บ้าน และด้วยปาฏิหารย์ ที่นักบวชแสดงให้ผู้คนประจักษ์ ผู้คนเริ่มมีความหวังว่า จะสามารถได้คนที่เป็นที่รักกลับคืนมา เพราะเชื่อว่านักบวชผู้นี้สามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ ผู้คนในหมู่บ้านจึงเริ่มมีกำลังใจในการดำรงชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง และต่างก็พากันฝากความหวังในชีวิตไว้กับนักบวชผู้นี้ด้วย<br /><br />คนในหมู่บ้านต่างไม่ทราบเลยว่า ปาฏิหารย์ของนักบวชนี้เกิดจากการใช้หินวิเศษ เนรมิตสิ่งหลอกลวงขึ้นทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่นักบวชนี้กระทำขัดต่อกฎการแลกเปลี่ยนที่เท่ากัน หากจะชุบชีวิตคนตายขึ้นมาใหม่ จะต้องแลกจิตวิญญาณของคนตายให้หวนคืนมา ด้วยสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกัน การสร้างชีวิตมิอาจเนรมิตขึ้นมาได้ลอยๆ สองพี่น้องเอลริคได้ทำการเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของนักบวชลวงโลกผู้นี้ในที่สุด<br /><br />เราคงไม่อาจโทษผู้คนในหมู่บ้านที่หลงไปให้การนับถือเจ้านักบวชลวงโลกผู้นั้นได้ ประสบการณ์ในชีวิตก็มีให้พบเห็นเสมอๆ ว่า ในช่วงเวลาที่ผู้คนกำลังเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง ย่อมมองหา และอยากไขว่คว้าอัศวินผู้มากับอาชาแห่งความหวัง ความต้องการเช่นนี้ มักทำให้คนละเลยที่จะแยกแยะระหว่าง ศาสตร์ของนักแปรธาตุ และ กลลวงโลกจอมปลอม<br /><br />อ้อ...ลืมเล่าไปนิดว่า นักบวชลวงโลกคนนี้ชอบถ่ายทอดคำสอน ให้ผู้คนหลงงมงาย โดยผ่านการเทศน์รายวันทางวิทยุThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com7tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1131639114004942802005-11-10T22:34:00.000+07:002005-11-10T23:11:54.023+07:00ข้อเท็จจริง การคาดเดา และจักรยานเก้าล้านคันหลากหลายเรื่องราวในชีวิตเรานั้น เป็นสิ่งเรารู้และยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง...อันไม่อาจปฏิเสธได้<br />บ้างก็เป็นเพียงสิ่งที่เราได้แต่คาดเดาเอา...เพราะไม่อาจพิสูจน์ให้รู้แจ้งได้<br />แต่สิ่งที่ผมรู้อยู่เสมอคือ...<br />ผมจะรักคุณตราบเท่าที่มีลมหายใจ<br />...และจะอยู่เคียงข้างกับคุณเสมอ<br /><br />อย่าหาว่าผมพูดคำหวานหลอกลวงคุณเลย..<br />...แค่เพียงบอกความในใจ <br />ที่รู้สึกอยู่ทุกวัน ...จากไอรักอุ่นๆของคุณที่มอบให้<br /><br />ในหมู่ประชากรโลกอันมากมาย..นับพันล้านชีวิต<br />...หรือราวๆนั้น..<br />...มีเพียงคุณคนเดียวที่ผมมอบใจให้ทั้งหมด<br /><br />คุณคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า... มีจักรยานถึงเก้าล้านคันในเมืองปักกิ่ง <br />เพราะมันคือข้อเท็จจริง ...เหมือนกับที่ ผมจะรักคุณไปจนวันตาย<br /><br />ด้วยแรงบันดาลใจจากเพลง "Nine Million Bicycles" ของ Katie Melua<br /><br />There are nine million bicycles in Beijing<br />That's a fact<br />It's a thing we can't deny<br />Like the fact that I will love you till I die<br /><br />We are twelve billion light years from the edge<br />That's a guess<br />No-one can ever say it's true<br />But I know that I will always be with you<br /><br />I'm warmed by the fire of your love everyday<br />So don't call me a liar<br />Just believe everything that I say<br /><br />There are six billion people in the world<br />More or less<br />And it makes me feel quite small<br />But you're the one I love the most of all<br /><br />We're high on the wire<br />With the world in our sight<br />And I'll never tire<br />Of the love that you give me every night<br /><br />There are nine million bicycles in Beijing<br />That's a fact<br />It's a thing we can't deny<br />Like the fact that I will love you till I die<br /><br />And there are nine million bicycles in Beijing<br />And you know that I will love you till I dieThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com8tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1131338042390646062005-11-07T11:30:00.000+07:002005-11-07T11:34:02.396+07:00Bernanke, Inflation Targeting and the Fedเมื่อปลายเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา ประธานาธิบดี จอร็จ ดับเบิลยู บุช ได้ประกาศเลือก นาย เบน เบอร์แนงกี้ (Ben Bernanke) มาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐ(หรือ เฟด) ต่อจากนาย อลัน กรีนสแปน ที่จะหมดวาระประธานฯลงในเดือนมกราคมปีหน้านี้ ข่าวนี้จัดได้ว่าเป็นข่าวสำคัญในวงการเศรษฐกิจและการเงินของโลกเป็นยิ่งนัก เพราะตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯนั้นถูกยกย่องให้มีความสำคัญเป็นอันดับสองรองจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯเลยทีเดียว<br /><br />นายเบอร์แนงกี้ เป็นนักวิชาการจากหอคอยงาช้างที่ก้าวลงมาคลุกคลี เกลือกกลั้วกับการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง เดิมนั้นเขามีตำแหน่งทางวิชาการเป็นศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยชื่อดังของโลกอย่าง มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) และมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ด (Stanford University) มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชั้นนำมากมากย และมีส่วนสำคัญในการสร้างองค์ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ด้านการเงิน (Monetary Economics) โดยงานวิจัยของเขา (ซึ่งมีทั้งงานด้านทฤษฎี และด้านงานศึกษาเชิงประจักษ์) ช่วยให้นักวิชาการในสาขานี้ ได้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ยิ่งขึ้นถึง ประสิทธิภาพ ขอบเขตข้อจำกัด ของการดำเนินนโยบายการเงิน <br /><br />นายเบอร์แนงกี้ผันตัวเองมาเป็น “ผู้ปฏิบัต”ิ เมื่อเข้ามารับตำแหน่งกรรมการนโยบายการเงินของเฟดเมื่อ 3 ปีก่อน ในปัจจุบันนายเบอร์แนงกี้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวอีกด้วย<br /><br />เป็นที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งเมื่อพบว่า ภายหลังจากที่ข่าวการเสนอชื่อนายเบอร์แนงกี้ได้แพร่ออกไปในช่วงก่อนเที่ยงของวันที่ 24 ตุลาคมนั้น ตลาดการเงินกลับมีการตอบสนองต่อข่าวนี้ ในทิศทางที่ไม่ค่อยเชื่อมั่นว่า นายเบอร์แนงกี้จะสามารถควบคุมอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯได้ดีเทียบเท่ากับ นายอลัน กรีนสแปน ทัศนะของตลาดการเงินต่อประธานเฟดคนใหม่ได้สะท้อนอยู่ใน อัตราดอกเบี้ยระยะยาว (ที่อ้างอิงได้จาก ราคาพันธบัตรที่มีกำหนดไถ่ถอนภายในระยะเวลาสองปีขึ้นไป ที่ทำการซื้อขายกันในวันนั้น) มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งนักวิเคราะห์ทั้งหลายต่างมองว่าเป็นการปรับเพิ่มของดอกเบี้ยตามการคาดคะเนว่าอัตราเงินเฟ้อในอนาคตจะสูงขึ้นกว่าในปัจจุบันนี้<br /><br />อย่างไรก็ดี หากนายเบอร์แนงกี้ เป็นนักปฏิบัติที่ทำตามสิ่งที่ตัวเองพร่ำบอกเมื่อคราวสวมหมวกนักวิชาการแล้วไซร้ (Practice what he preaches) ผู้เขียนเชื่อว่า การจัดการควบคุมอัตราเงินเฟ้อภายใต้ประธานเฟดคนใหม่นี้ จะไม่ด้อยกว่ายุคสมัยของนาย อลัน กรีนสแปน หรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ<br />เพราะผู้ที่ติดตามอ่านงานวิจัยของนายเบอร์แนงกี้คงทราบกันดีว่า นับแต่ปลายช่วงทศวรรษที่ 90 เป็นต้นมา ศาตราจารย์ เบอร์แนงกี้นั้น ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้กับการศึกษา วิจัยการดำเนินนโยบายการเงินที่อิงกับการตั้งเป้าหมายเงินเฟ้อ หรือ Inflation Targeting (ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย) และนายเบอร์แนงกี้ได้แสดงจุดยืนไว้อย่างชัดเจนว่า เขาสนับสนุนการดำเนินนโยบายการเงินแนวนี้<br />ผู้เขียนของเล่าถึงที่มา และประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายการเงินแบบ Inflation Targeting โดยสังเขป เพื่อให้ผู้ที่ไม่ทราบดีนักเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้มีความเข้าใจในระดับพื้นฐานก่อน<br /><br />ในอดีตนั้น นักเศรษฐศาสตร์เคยเข้าใจกันว่า รัฐบาลหรือธนาคารกลางสามารถใช้นโยบายการเงินเพื่อบรรลุเป้าหมายสำคัญทางเศรษฐกิจได้นานัปการ ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นการจ้างงาน (เพื่อลดความผันผวนทางเศรษฐกิจ) การสร้างเสถียรภาพในระดับราคา (โดยการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ) หรือแม้แต่ช่วยให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ<br /><br />แต่จากประสบการณ์ และจากการศึกษาวิจัยจำนวนมาก นักเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบันต่างมีฉันทามติร่วมกันแล้วว่า นโยบายการเงินนั้นสมควรที่จะใช้ เพียงเพื่อการรักษาเสถียรภาพในระดับราคา “ในระยะยาว” เท่านั้น นโยบายการเงินไม่สมควรถูกใช้เพื่อหวังผลในการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคระยะสั้นแต่อย่างใด<br /><br />ฉันทามติในปัจจุบันนี้แตกต่างจากยุคสมัยที่นักเศรษฐศาสตร์มหภาคแนวเคนส์ (หรือ พวก Keynesians ) เรียกตัวเองว่าเป็นกลุ่มแนวคิดเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ในยุคสมัยนั้น นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่า มีความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างอัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงาน ที่พวกเขาสามารถเอามาใช้ประโยชน์ในการกำหนด หรือบริหารเศรษฐกิจมหภาคได้<br /><br />กล่าวคือ อัตราเงินเฟ้อกับอัตราการว่างงาน จะมีความสัมพันธ์ที่ผกผัน ตรงกันข้ามเสมอ เมื่อใดที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู ร้อนแรง เราจะพบว่า ราคาสินค้าในระบบเศรษฐกิจปรับขึ้น(อันส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น) พร้อมๆกับที่ภาวะการว่างงานลดน้อยลง (หรือ คนมีงานทำกันมากขึ้น) ในทางกลับกัน ในยามเศรษฐกิจตกต่ำ ฝืดเคือง ราคาสินค้าไม่ปรับเพิ่ม หรือลดลง จนส่งผลให้ อัตราเงินเฟ้อลดต่ำลง ช่วงนั้นจะมีอัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น มีคนตกงานเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ความสัมพันธ์นี้ถูกนำมาพล็อตเป็นเส้นกราฟ และถูกเรียกขานตามชื่อนักเศรษฐศาสตร์คนแรกที่ค้นพบปรากฎการณ์นี้ว่า เส้น Phillips Curve<br /><br />ในยุคสมัยนั้น นักเศรษฐศาสตร์ Keynesians อาศัยเส้น Phillips Curve ในการบริหารเศรษฐกิจ เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจเริ่มชะลอตัว นักเศรษฐศาสตร์พวกนี้ จะเสนอให้ใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย (Expansionary Monetary Policies อันได้แก่ การเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ หรือลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยยอม “แลก” กับการที่ระบบเศรษฐกิจมีอัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น <br /><br />กลไกที่ทำให้เงินเฟ้อ กลายเป็น “เครื่องมือ” สำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ก็คือ แนวคิดที่ว่าค่าแรงที่นายจ้างตกลงไว้กับลูกจ้างนั้นมักไม่ปรับตามภาวะเงินเฟ้อได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากแรงงานอาจมีการตกลงค่าแรงในรูปตัวเงิน (หรือที่เรียกว่า Nominal Wage) ไว้ล่วงหน้ากับนายจ้างแล้ว เมื่ออัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มสูงขึ้น นายจ้างจะพบว่าต้นทุนในการจ้างแรงงานถูกลงเมื่อเทียบกับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น (กล่าวอีกนัยหนึ่ง เงินเฟ้อทำให้ค่าจ้างแรงงานที่แท้จริงหรือ Real Wage ลดลง) ดังนั้นจึงมีความต้องการจ้างแรงงานมากยิ่งขึ้น และก่อให้เกิดผลต่อเนื่องสู่การผลิต และการใช้จ่ายต่อไป<br /><br />แต่ยังมีนักเศรษฐศาสตร์ต่างสำนัก โดยการนำของสองนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลจากมหาวิทยาลัยชิคาโก (The University of Chicago) อันได้แก่ ศาตราจารย์ มิลตั้น ฟรีดแมน (Milton Friedman นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลในปี 1976) และ ศาตราจารย์ โรเบิร์ต ลูคัส (Robert Lucas นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลในปี 1995) ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของพวก Keynesians และเชื่อว่า การดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเช่นนี้ จะมีผลในเชิงบวกต่อการจ้างงาน และการผลิต เพียงในระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น แต่จะก่อให้เกิดผลในทางลบต่ออัตราเงินเฟ้อในระยะยาวมากกว่า เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ แรงงานนั้นเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เนื่องจากมีสวัสดิการลดลงจากการที่ค่าแรงไม่สามารถปรับตามเงินเฟ้อได้ทัน ดังนั้นแรงงานจะต้องมีการปรับการคาดคะเนอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว หากต้องทำการตกลงค่าจ้างที่เป็นตัวเงินกับนายจ้างอีกครั้ง <br /><br />การปรับการคาดคะเนของแรงงานนี่เอง ที่จะเป็นตัวทำให้ผลของนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายบังเกิดผลในเชิงบวกต่อระบบเศรษฐกิจเพียงในระยะสั้นเท่านั้น เพราะเมื่อค่าแรงที่เป็นตัวเงินปรับขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ นายจ้างจะไม่ต้องการจ้างแรงงานมากดั่งเคย เพราะค่าแรงที่ปรับขึ้นมานั้นทำให้ต้นทุนการจ้างงานและต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น จนในที่สุดการจ้างงานและการผลิตจะปรับลดกลับมายังระดับแรกเริ่มก่อนการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย สิ่งที่ทำให้ดุลยภาพในท้ายที่สุดนี้ แตกต่างจากสถานการณ์ในตอนเริ่มแรกก็คือ ระบบเศรษฐกิจจะมีทั้งการว่างงานที่สูง ควบคู่กับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นกว่าเดิม<br /><br />ฟรีดแมนและลูคัสชี้ให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของนโยบายการเงินในการที่จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่กระนั้นก็ดี ในแวดวงผู้กำหนดนโยบายการเงิน ต่างยังคงเชื่อว่า นโยบายการเงินยังสมควรถูกใช้้เพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นอยู่ จวบจนกระทั่ง ฟินน์ คิดแลนด์ และเอ็ดเวิร์ด เพรสค็อตต์ (Finn Kydland และ Edward Prescott สองนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2004) ได้ชี้ให้เห็นถึงผลเสียของความพยายามดังกล่าว<br /><br />คิดแลนด์ และเพรสคอตต์ แสดงให้เห็นว่าการที่ธนาคารกลางมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจสองด้านในเวลาเดียวกันนั้นเป็นผลเสียมากกว่าผลดี กล่าวคือ หากธนาคารกลางต้องการที่จะลดความผันผวนในการจ้างงานและการผลิตในระยะสั้น พร้อมๆกับพยายามที่จะควบคุมระดับราคาให้มีเสถียรภาพในระยะยาวแล้ว กลับจะเป็นตัวบ่อนทำลายประสิทธิภาพของนโยบายการเงิน และทำลายเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ<br /><br />ทั้งนี้เป็นเพราะประชาชนต่างคาดคะเนว่า นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายจะต้องถูกใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่ธนาคารเห็นสมควร (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือใช้นโยบายการเงินแบบมี Discretion) ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่นโยบายนี้ถูกนำมาใช้ อัตราเงินเฟ้อในระบบจะปรับเพิ่มสูงขึ้น สาธารณชนที่คิดคาดการณ์อย่างมีเหตุมีผล (และ ด้วยความเข้าใจเป็นอย่างดีถึงกลไกในระบบเศรษฐกิจ) จะสนองตอบต่อการดำเนินนโยบายดังกล่าว ในทิศทางที่ให้ผลหักล้างกับการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลต้องการให้เกิดขึ้นเสมอ ซึ่งตรงจุดนี้จะทำให้ธนาคารกลางขาดความน่าเชื่อถือ และทำให้การควบคุมอัตราเงินเฟ้อไม่มีประสิทธิภาพในที่สุด<br /><br />ด้วยเหตุนี้ นักเศรษฐศาสตร์ในยุคต่อมาจึงเรียกร้องให้ธนาคารกลางแสดงเจตจำนงว่ามีเป้าหมายทางเศรษฐกิจเพียงเป้าหมายเดียวนั่นคือ การควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่ต่ำ และเหมาะสมต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของการดำเนินนโยบายแบบ Inflation Targeting<br />ภายใต้การดำเนินนโยบายแบบ Inflation Targeting นี้ ธนาคารกลางจำเป็นต้องสื่อสารให้สาธารณชนเข้าใจอย่างชัดเจนถึง เป้าหมายเงินเฟ้อ (อัตราเงินเฟ้อในระบบเศรษฐกิจในระยะยาวนั้นจะเป็นกี่เปอร์เซ็นต์) และเงื่อนไขในการปรับใช้เครื่องมือทางนโยบาย(นั่นคือ จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เมื่อมีสัญญาณว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาวกำลังจะหลุดไปจากเป้าหมายของธนาคารฯ) ซึ่งธนาคารกลางต้องมีการแถลงให้สาธารณชนทราบถึงสถานการณ์เศรษฐกิจ และข้อสรุปของการตัดสินใจอย่างสม่ำเสมอ<br /><br />สิ่งสำคัญในการดำเนินนโยบายการเงินแบบ Inflation Targeting นี้คือ การที่ธนาคารกลางทำให้การดำเนินนโยบายการเงินมีความโปร่งใส เข้าใจง่าย และสาธารณชนจะเกิดความมั่นใจว่า การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินแต่ละครั้งนั้น มิใช่เป็นไปตาม Discretion ที่หวังผลระยะสั้น แต่เป็นการปรับเปลี่ยนใดๆ ที่อยู่ภายใต้กรอบของเป้าหมายเงินเฟ้อระยะยาวเสมอ เรียกได้ว่า Inflation Targeting เป็นเครื่องมือในการบริหารการคาดคะเน (Expectation Management) ของสาธารณชนเกี่ยวกับนโยบายการเงิน และอัตราเงินเฟ้อ<br /><br />ตรงจุดนี้ที่เป็นความแตกต่างระหว่างแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้ Inflation Targeting กับสิ่งที่นาย อลัน กรีนสแปนกระทำมาตลอดช่วงเวลาที่เขาเป็นประธานเฟด กล่าวคือ ในยุคสมัยของนาย อลัน กรีนสแปนนั้น ไม่มีการระบุเป้าหมายของการดำเนินนโยบายการเงินแต่อย่างใด อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนหรือคำอธิบายที่เข้าใจได้ง่ายในส่ิงที่เฟดเลือกกระทำ แม้ว่าทุกคนจะมีความเข้าใจตรงกันก็ตามว่า เฟดต้องการควบคุมเงินเฟ้อในระยะยาวให้อยู่ในระดับต่ำ แต่ไม่มีใครเคยเห็นการระบุอย่างชัดเจนในสิ่งที่เฟดจะกระทำ กรีนสแปนเลือกที่จะใช้ความคลุมเคลือ และสร้างเงื่อนงำ นำพาให้ตลาดการเงินพากันคาดเดาไปต่างๆนานาถึงสิ่งที่เฟดจะกระทำแทน <br /><br />ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ กรีนสแปนเลือกที่จะถ่ายทอดทัศนะของเขาผ่านทางวจีกรรมอย่าง Irrational Exuberance ที่สะท้อนถึงการเก็งกำไรในตลาดหุ้น แทนที่จะบอกว่า เฟดจะจัดการอย่างไรกับภาวะเศรษฐกิจขณะนั้น หรือระบุลงไปให้ชัดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ที่เขาเห็นว่าเหมาะสมกับเป้าหมายเงินเฟ้อในระยะยาวในชณะนั้นเป็นเท่าไหร่<br /><br />ผู้เขียนเชืี่อว่า เฟดภายใต้การนำของนายเบอร์แนงกี้ผู้มีพื้นเพเป็นนักวิชาการเศรษฐศาสตร์ชั้นดี จะเปลี่ยนไปจากเดิม และเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมด้วยThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1131077301488774862005-11-04T10:29:00.000+07:002005-11-04T11:08:21.516+07:00ลองทำข้อสอบคุณ Kickoman : )ใครก็ตามที่ได้ เยี่ยมชม Blog ของคุณ Kickomanแล้ว คงอดไม่ได้ที่จะแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียนอีกเป็นครั้งสอง ครั้งสาม ... เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด !<br /><br />ผมก้อเป็นหนึ่งที่ติดใจใน Blog นี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น จนต้องพยายามฝืนใจ ไม่เข้าไปดูมันซะเลยเป็นเวลาหลายสัปดาห์<br /><br />วันนี้ตัดใจแวะเข้าไปดู เจอเรื่องสนุกอย่าง Daylight Saving Time และอ่านต่อไปเจอข้อสอบเศรษฐศาสตร์(การเงินระหว่างประเทศ) อ่านแล้วก้อเกิดอาการอยากตอบขึ้นมา<br /><br />...ขอใช้พื่นที่ของตัวเองตอบละกัน<br /><br />ตอนนี้ขอลอกโจทย์ที่อาจารย์ Kickoman ให้มาก่อน...<br /><br />โจทย์มีอยู่ว่า<br /><br /><br />" ถ้าท่านเป็นผู้กำหนดนโยบาย (ไม่ต้องเป็นรัฐมนตรีคลัง หรือผู้ว่าแบงค์ชาติก็ได้นะครับ เป็นนายกฯก็ได้) ของประเทศกำลังพัฒนาประเทศหนึ่ง ประเทศของท่านใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ เงินตราไหลเข้าออกประเทศได้สบายๆ และประเทศของท่านก็กำลังเป็นที่สนใจของนักลงทุน ทุนนอกไหลเข้าแบบสนุกสนาน(คิดถึงประเทศเอเชียก่อนวิกฤตไว้ครับ) <br /><br />ด้วยความที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาแบบร้อนแรง การบริโภคและการลงทุนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การนำเข้าก็สูงขึ้น (ทั้งการนำเข้าสินค้าบริโภค และสินค้าวัตถุดิบ) แต่การส่งออกเริ่มแย่ลง เพราะค่าแรงงานของประเทศท่านเริ่มสูง ความสามารถทางการแข่งขันเริ่มสู้ประเทศแรงงานถูกไม่ได้ซะแล้ว ส่งผลให้ทุนบัญชีเดินสะพัดของประเทศของท่านขาดดุลแบบน่ากลัว (เอาแบบมากกว่าร้อยละสิบของผลผลิตมวลรวมประชาชาติเลย)<br /><br />ด้วยความจำเป็นบางประการ คุณไม่สามารถใช้นโยบายปิดกันทุนนอกได้ นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนก็เปลี่ยนไม่ได้ ต้องคงค่าไว้อย่างนั้น<br /><br />คำถามข้อแรก...ในฐานะที่คุณเป็นรัฐบาล คุณจะทำอย่างไรในระยะสั้น เพื่อลดความเสี่ยงที่เกิดจากการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ที่อาจนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเงินได้"<br /><br /><br />โดยธรรมชาติของตัวผม ..ผู้เชื่อมั่นอย่างสนิทใจในกลไกตลาดเสรี ว่ามีความสามารถในการจัดสรรทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผมแทบจะไม่กังวลใจสักนิดเลยว่า นี่จะเป็นปัญหาอย่างไร เพราะในที่สุด "ตลาด" มันก้อจัดการได้เอง<br /><br />กังวลไปใยกับปัญหาการขาดดุล ในเมื่อการขาดดุลที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปรากฎการณ์ระยะสั้น และเป็นเพียงส่วนหนึ่งของงบประมาณที่จะต้องได้ดุลในมูลค่าปัจจุบันเสมอ ... การขาดดุลในวันนี้ ส่งสัญญาณให้เรารู้ว่า จะมีการเกินดุลในอนาคต นั่นเอง<br /><br />หากประเทศเราใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ การขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดการไหลออกของเงินสำรองระหว่างประเทศ ... สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลพวกที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้<br /><br />หากการขาดดุลการค้านั้นมีสาเหตุมาจากการที่ประเทศเรามีต้นทุนการผลิตสูงกว่าประเทศอื่น จนทำให้ขาดความสามารถในการแข่งขันในคลาดโลก แล้วไซร้ เราก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้เงินสำรองระหว่างประเทศร่อยหรอลงไป จนรัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่นใดเหลือนอกจากประกาศลดค่าเงิน<br /><br />เมื่อค่าเงินถูกปรับลด ให้สะท้อนพื้นฐานทางศรษฐกิจของประเทศมากยิ่งขึ้น ย่อมมีผลต่อดุลการค้า ดังที่ทราบกันดีว่า เมื่อค่าเงินอ่อนลง สินค้านำเข้าจะมีราคาสูงขึ้น เพราะราคาขายในประเทศนั้นถูกปรับตามค่าเงินใหม่ ในขณะที่ราคาส่งออกสู่ตลาดโลกจะราคาถูกลง ผลโดยสุทธิคือ การนำเข้าจะลดลงและการส่งออกจะมากขึ้น ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะดีขึ้น<br /><br />ผมพอใจกับทางออกนี้ เพราะเชื่อว่า ทางเลือกอื่นมีแต่จะทำให้ปัญหาเลวร้ายลงกว่าที่ควร และยังอาจทำให้เกิดการบิดเบือนทางเศรษฐกิจด้วยซ้ำ<br /><br />ไม่เชื่อนั่ง Time Machine กลับไปตอนช่วงก่อนปี 1997 สิครับThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1129133765818724692005-10-12T23:12:00.000+07:002005-10-12T23:16:05.833+07:00การแก้ปัญหาหนี้ภาคประชาชน และปัญหา Moral Hazardจำได้ว่าใครคนหนึ่งเคยบอกกับคนไทยว่า ถ้าไม่เป็นหนี้ ก็คงจะร่ำรวยมั่งคั่งไม่ได้..<br /><br />เพราะผู้ประกอบกิจการธุรกิจที่ขาดเงินทุนของตัวเอง ย่อมต้องอาศัยเงินกู้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ต้องตกอยู่ในสภาพ "เป็นหนี้" ก่อน เพื่อที่จะได้รับเงินทุนมาดำเนินกิจการ เพื่อสร้่างรายได้ ..<br /><br />ดังนั้นการเป็นหนี้ จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ต้องการสร้างฐานะ ยกระดับรายได้..<br /><br />เมื่อวันวานนั้น ใครคนนั้นไม่เคยพูดถึงความเสี่ยงที่จะตามมาจากการก่อหนี้<br /><br />...เพราะไม่ใช่ว่าผู้ที่ก่อหนี้จะสามารถสร้างรายได้ ให้เพียงพอจะชำระคืนมูลหนี้ และดอกเบี้ยได้เสมอไป<br /><br />ในวันนี้ ...เราได้เห็นแล้วว่า คนที่ก่อหนี้ไว้นั้น อาจประสบปัญหาในการชำระคืนหนี้ได้ และบางครั้งปัญหานั้นอาจยืดเยื้อ และพัวพันกับการฟ้องร้อง ดำเนินคดีในชั้นศาล ..เป็นระยะเวลายาวนาน<br /><br />ในวันนี้ ...เช่นกัน ที่ ..รัฐบาลเพิ่งได้พบว่า มีประชาชน ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ จำนวนมากมายที่กู้เงินจากสถาบันการเงินเอกชน และ ธนาคารของรัฐ และถูกจัดประเภทไว้ว่าเป็น ลูกหนี้ "เอ็นพีแอล" หรือกลุ่มที่มีปัญหาในการชำระคืนดอกเบี้ยเงินกู้ มีการประเมินกันว่า มูลค่าเงินต้นของลูกหนี้ "ในระบบ" เหล่านี้ สูงถึง 3 หมื่นล้านบาท <br /><br />รัฐบาลจึงได้หันมาให้ความสนใจกับกลุ่มผู้เป็น "หนี้" โดยพุ่งเป้าในการแก้ไขไปยังกลุ่มลูกหนี้รายย่อยที่มีมูลหนี้ไม่เกินสองแสนบาทก่อน ลูกหนี้ที่จะได้รับการเหลียวแลในระดับต้นๆนั้นจะเป็นผู้ที่อยู่ระหว่างถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ก่อนเดือนมิถุนายน 2548 และเป็นลูกหนี้ทั้งจากประเภทสินเชื่อบุคคล และประเภทสินเชื่อบัตรเครดิต ลูกหนี้ที่อยู่ในกลุ่มนี้มีจำนวนมากถึงแสนราย ตัวเลขเงินต้นทั้งหมดสำหรับกลุ่มที่จะได้รับการแก้ไขปัญหาเป็นลำดับแรกนี้เป็นจำนวน 7 พันล้านบาท และมีดอกเบี้ยต้องชำระอีก 2 หมื่นล้านบาท<br /><br />เมื่อพิจารณาถึงมูลค่าหนี้ และดอกเบี้ยค้างชำระแล้ว จะเห็นว่าเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลย ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะมีผู้แสดงที่ทีไม่เห็นด้วยกับแนวทางการแก้ปัญหาที่ปรากฎในหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา<br /><br />แนวทางการแก้ปัญหาที่ได้มีการพูดถึงในเบื้องต้น นั้นระบุไว้ว่า รัฐบาลจะลดหนี้เงินต้นให้กับลูกหนี้ถึงร้อยละ ห้าสิบ และจะไม่มีการคิดดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้เหล่านี้ แต่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ลูกหนี้เหล่านี้จะต้องชำระหนี้ทั้งหมดคืนให้ครบภายใจระยะเวลาหกเดือน <br /><br />นักวิชาการบางท่านได้แสดงความเห็นไว้ว่า การแก้ปัญหาในลักษณะนี้จะส่งผลเสียต่อวัฒนธรรมการชำระหนี้ของประชาชน และส่งผลให้คนใช้จ่ายเงินเกินตัว มีหลายท่านได้หยิบยกเอาคำว่า Moral Hazard มาใช้กับเหตุการณ์นี้<br /><br />Moral Hazard ที่บางท่านใช้คำไทยแทนว่า "ความเสี่ยงทางศีลธรรม" หรือ "จรรยาบรรณวิบัติ" มักเกิดขึ้นภายหลังจากการทำสัญญา โดยจะหมายถึงเหตุการณ์ที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดสามารถแอบกระทำการโดยที่คู่สัญญาไม่สามารถล่วงรู้ได้ หรือไม่มีหลักฐานเพียงพอจะเอาผิด ซึ่ง การกระทำนั้นสร้างผลเสียให้กับคู่สัญญา ในลักษณะของการสูญเสียมูลค่าของทรัพย์สิน หรือ ความเสียหายในทางการเงินต่างๆ<br /><br />ยกตัวอย่างเช่น หากบุคคลหนึ่งกู้ยืมเงินจากธนาคารไป โดยบอกว่าจะนำไปใช้ลงทุนทำธุรกิจ แต่เขาผู้นั้นกลับใช้เงินที่กู้ยืมมาไปกับการซื้อสินค้าบริโภคอันฟุ่มเฟือย แทนการลงทุน เมื่อถึงคราวต้องชำระเงินกู้คืนนั้น ก็ไม่มีเงินมาคืนให้ แต่กลับกล่าวอ้างว่า นำเงินกู้ไปลงทุนแล้ว และการลงทุนเกิดความเสียหายไม่อาจสร้างรายได้ดังที่คาดการณ์ไว้ได้<br /><br />ในตัวอย่างข้างต้นนี้ ธนาคารไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า การที่ลูกหนี้ประสบปัญหาการชำระหนี้คืนนั้น เป็นเพราะลูกหนี้ใช้เงินกู้ไปตรงตามที่ควรแล้ว แต่ประสบปัญหาทางธุรกิจจริงๆ หรือเป็นเพราะใช้เงินกู้ไม่ถูกทางกันแน่ <br /><br />ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้จะมีผลอย่างมากต่อการทำงานของตลาดการเงิน ในอันที่จะเป็นศูนย์กลางในการระดมเงินทุนจากผู้มีเงินทุนส่วนเกิน ไปให้กับผู้ขาดแคลนเงินทุน และจะสร้างปัญหาให้กับการจัดสรรเงินทุนในระบบเศรษฐกิจด้วย เพราะจะทำให้ผู้ที่มีโครงการลงทุนดีๆ และตั้งใจจะชำระเงินกู้คืนอย่างครบถ้วน ต้องถูกเหมารวมเข้าไว้กับ กลุ่มลูกค้าที่ต้องการขอกู้ไปใช้เพื่อการบริโภค และตั้งใจจะผิดชำระหนี้<br /><br />ด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้นักวิชาการหลายท่านหวั่นเกรงว่าปัญหา Moral Hazard จะกัดกร่อนเสถียรภาพในภาคการเงินที่กำลังเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540<br /><br />แต่สิ่งที่น่าสะพึงกลัวกว่านั้นก็คือ วิวัฒนาการของปัญหา Moral Hazard ที่ก้าวข้ามไปสู่การเป็นวัฒนธรรมการผิดนัดชำระหนี้ ที่ก่อขึ้นจากนโยบายการแก้ปัญหาความยากจนนี้ โดยจูงใจให้บรรดาลูกหนี้มีพฤติกรรมตอบสนองต่อนโยบายในเชิงกลยุทธ์ (Strategically)<br /><br />กล่าวคือ บรรดาลูกหนี้ทั้งหลายที่มีความสามารถในการชำระคืนเงินกู้ อาจจงใจ แสดงพฤติกรรมของตนดุจดั่ง ลูกหนี้ที่ผิดชำระดอกเบี้ยได้ เนื่องจาก การประกาศนโยบายในครั้งนี้ได้สร้างทัศนคติใหม่ให้กับพวกเขา โดยชี้นำว่า ในอนาคตข้างหน้า รัฐบาลจะเข้ามา "อุ้ม" บรรดาลูกหนี้ “เอ็นพีแอล” การคาดการณืเช่นนี้เกิดขึ้น เพราะรัฐบาลได้สร้่าง "กรณีตัวอย่าง" ให้ประชาชนเห็นแล้ว ว่าเมื่อหนี้ภาคประชาชนพอกพูนถึงระดับหนึ่ง รัฐบาลจะยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ไขปรับโครงสร้างหนี้ <br /><br />แม้ว่าจะมีคนออกมาโต้แย้งว่า การแก้ปัญหานี้จะไม่มีผลต่อพฤติกรรมในภายภาคหน้าของบรรดาลูกหนี้ก็ตาม เพราะไม่มีใครอยากได้ชื่อว่า "เป็นหนี้" เพราะค่านิยมในสังคมเรานั้นมีท่าทีรังเกียจ คนเป็นหนี้อยู่ <br /><br />อย่างไรก็ตาม รัฐบาลก็ไม่สมควรมองข้ามพฤติกรรมของสัตว์เศรษฐกิจที่ตอบสนองอย่างสมเหตุสมผลต่อแรงจูงใจ <br /><br />เหตุผลที่กล่าวเช่นนี้ มีสาเหตุด้วยกันสองประการคือ หนึ่ง ความแตกต่าง(ในรูปตัวเงิน)ของการซื่อสัตย์จ่ายเงินตรงตามกำหนด กับการเป็นลูกหนี้ "เอ็นพีแอล" และได้รับการลดหย่อนมูลหนี้นั้น มากมหาศาล เพียงพอที่จะทำให้คนเลือกตัดสินใจผันตัวเองเป็นลูกหนี้ “เอ็นพีแอล”<br /><br />ลูกหนี้ที่มีมูลหนี้ สองแสนบาท และจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ หนึ่งต่อเดือน สำหรับการกู้ยืมเป็นระยะเวลา ห้าปี จะมีภาระการชำระเงินทั้งหมด 320,000 บาทหากชำระคืนครบถ้วนตามสัญญากู้เงิน หากเทียบกับผลได้จากการเป็นเอ็นพีแอล และได้รับการปรับโครงสร้างจากภาครัฐในที่สุด แล้ว จะพบว่า ลูกหนี้จะมีภาระชำระหนี้เพียงแค่ครึ่งหนึ่งของเงินต้น นั่นคือ หนึ่งแสนบาท เท่านั้น ความแตกต่างในตัวเงินที่มากถึง หนึ่งแสนสองหมื่นบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 60 ของจำนวนมูลหนี้ สามารถจูงใจให้คนจงใจเบี้ยวหนี้ได้ และนี่คือพฤติกรรมที่นักวิชาการเรียกว่า Moral Hazard ซึ่งรัฐบาลไม่อาจละเลย หรือทึกทักเอาเองว่า ประชาชนจะไม่คิดจะกระทำหรือตอบสนองในเชิงกลยุทธ์่เช่นนี้<br /><br />ประการที่สองคือ ผลของ Moral Hazard ต่อค่านิยมในการตกอยู่ในสภาพ “ติดหนี้” กล่าวคือ เมื่อบรรดาลูกหนี้ต่างพากัน “ชักดาบ” จำนวนลูกหนี้เอ็นพีแอลเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น การมีสภาพเป็นลูกหนี้ค้างชำระ จึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาดแต่อย่างใด สิ่งที่เคยเป็นของต้องห้าม น่าละอาย หากมีคนร่วมชะตากรรมจำนวนมากแล้ว บรรดาลูกหนี้ทั้งหลายก็ย่อมรู้สึก “ปกติ” มากยิ่งขึ้น<br /><br />ดังนั้นค่านิยมในสังคม ต่อการเป็นหนี้ ที่จะมีผลทำให้ ลูกหนี้รู้สึกอับอายที่จะได้ชื่อว่า ผิดนัดชำระหนี้ ก็จะมีผลต่อความรู้สึกน้อยลงไป และจะทำให้คนเหล่านั้นไม่ให้ความสำคัญกับการชำระคืนหนี้ตรงเวลาเท่าใดนักด้วย<br /><br />เราอาจกล่าวได้ว่า การประกาศปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชนครั้งนี้จะมีผลต่อ “ผลได้” และ “ต้นทุน” ของการเป็นหนี้ ในทิศทางที่ทำให้คนเลือกที่จะเป็นหนี้มากยิ่งขึ้น กล่าวคือ จะมีผลได้ในรูปของเงินที่ต้องจ่ายน้อยลงในที่สุด และมีต้นทุนลดลงจากการที่คนจำนวนมากขึ้นในสังคมเป็นหนี้เอ็นพีแอล และค่านิยมในสังคมเกี่ยวกับการเป็นหนี้ เสื่อมความรุนแรงลง<br /><br />การตอบสนองต่อนโยบายแก้ไขหนี้ภาคประชาชนนี้ มิเพียงจะมีแต่ด้านของลูกหนี้เท่านั้น สำหรับในด้านของเจ้าหนี้นั้น ย่อมมีการตอบสนองในลักษณะที่ไม่ต่างกันเท่าใดนัก เพราะด้านเจ้าหนี้ ก็จะมีการตอบสนองกับนโยบายในเชิงกลยุทธ์ด้วยเช่นกัน เจ้าหนี้ที่คาดคะเนได้ถึงความสูญเสียทางการเงินเช่นนี้ ย่อมต้องหามาตรการต่างๆที่จะรักษาผลประโยชน์ของตนไว้ ซึ่งหากมิใช่การเพิ่มรายได้ในด้านอื่น ก็คงต้องเป็นการลดต้นทุนในการดำเนินการด้านต่างๆ (ในกรณีที่เจ้าหนี้โอนอ่อนผ่อนตามนโยบายที่รัฐบาลประกาศออกมา) <br /><br />สำหรับเจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้นอกระบบ ก็อาจเริ่มคาดการณ์ถึงมาตรการแก้ปัญหาในส่วนของหนี้นอกระบบที่จะตามมา และหากมองจากแนวทางการแก้ปัญหาที่ผ่านมา เจ้าหนี้เหล่านี้ คงต้องพยายามเรียกหนี้คืนให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการเร่งรัดชำระหนี้ หรือการเรียกสินทรัพย์ประเภทอื่นทดแทน อีกทั้งยังอาจทำการตกลงปรับมูลหนี้ ให้เพิ่มสูงขึ้นจากเดิม เนื่องจากคาดคะเนล่วงหน้าถึงการแฮร์คัท มูลหนี้<br /><br />สิ่งที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้คือ ภาวะการขาดแคลนเงินทุนอย่างหนัก เพราะบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลาย ทั้งในและนอกระบบ ต่างไม่อยากปล่อยกู้กันอีกต่อไป เนื่องจากเกรงกลัวพฤติกรรม Moral Hazard ของลูกหนี้ และ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว เราอาจพบกับภาวะการชะลอตัวของการใช้จ่าย การชะลอตัวของสินเชื่อ และ อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินที่จะยังคงอยู่ในระดับต่ำ ต่อไป<br /><br />ข้อสังเกตุทั้งหมดในบทความนี้ ตั้งอยู่บนข้อสมมุติที่ว่า รัฐบาลไม่นำเอาหนี้ภาคประชาชน เข้ามาเป็นภาระหนี้ของรัฐบาล เพราะเมื่อใดก็ตามที่หนี้ภาคประชาชนถูกโอนเข้ามาเป็นภาระหนี้ของรัฐบาลแล้ว นั่นย่อมหมายถึงภาระภาษีจำนวนมหาศาล ที่ชนชั้นกลางทั้งหลายจะหลบเลี่ยงไม่ได้ ด้วยเหตุที่ว่า รัฐบาลชุดนี้คงไม่รีดภาษีเอาจากคนรวยแน่ๆ<br /><br />ใครกันนะ ที่ว่า เป็นหนี้ก่อนแล้วถึงจะรวย....The Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1123725379366258632005-08-11T08:53:00.000+07:002005-08-11T08:56:19.386+07:00เศรษฐศาสตร์ของค่าเงินหยวนดูเหมือนว่ารัฐบาลจีนจะพ่ายแพ้ต่อกระแสกดดันจากกลุ่มประเทศคู่ค้าในที่สุด เมื่อ รัฐบาลจีนได้ประกาศปรับค่าเงินหยวนที่ถูกตรึงไว้ที่ระดับ 8.28 หยวนต่อดอลล่าร์สหรัฐฯมาเป็นเวลานาน ให้เพิ่มค่ามากขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 8.11 หยวนต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ ในวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้น จีนยังประกาศยกเลิกระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่มาเป็นระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่าเงินหยวนถูกกำหนดค่าโดย “ตะกร้าเงิน” อันประกอบด้วยสกุลเงินหลักๆของโลกแทนอีกด้วย<br /><br />จีนถูกกดดันให้ปรับค่าเงินหยวน เพราะเหล่าประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา มีการขาดดุลการค้ากับประเทศจีนเป็นระยะเวลายาวนาน และเหตุผลที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอธิบายความไม่สมดุลทางการค้านี้คือ ค่าเงินหยวนที่อ่อนเกินไปช่วยให้จีน ได้เปรียบดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าเหล่านั้น และส่งผลให้ผู้ผลิตในประเทศที่นำเข้าสินค้าจากประเทศจีนต้องสูญเสียส่วนแบ่งตลาดไป และพลอยทำให้ผู้ใช้แรงงานในประเทศเหล่านั้นต้องพากันตกงานเป็นจำนวนมากด้วย<br /><br />แม้ว่าการปรับค่าเงินหยวนนี้เป็นสิ่งที่ตลาดการเงินคาดหมายกันมานานแล้วว่าจะต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว แต่การปรับที่ส่งผลให้เงินหยวนแข็งค่าขึ้นเพียง 2.1 % นั้นไม่อาจคาดหมายได้ว่า จะส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบทางด้านการแข่งขันของจีน หรือช่วยแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของเหล่าประเทศคู่ค้ากับจีนได้แต่อย่างใด เพราะการปรับเพิ่มค่าเงินที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้ มิใช่การปรับค่าเงินหยวนให้สะท้อนถึงมูลค่าที่จะนำมาซึ่งสมดุลในตลาดการค้าโลก<br /><br />ตัวบ่งชี้ถึงค่าเงินหยวนที่สำคัญคือ อัตราแลกเปลี่ยนของเงินหยวนที่มีการซื้อขายกันในตลาด Offshore เพราะเป็นอัตราแลกเปลี่ยนที่มิได้ถูกควบคุมโดยทางการของจีน ทั้งยังเป็นตัวสะท้อนถึงมูลค่าของเงินหยวนที่ตลาดการเงินประเมินไว้อีกด้วย นิตยสาร The Economist ได้รายงานไว้ว่า มีการซื้อขายเงินหยวนกันในตลาดนี้ในอัตราที่ไม่ต่ำกว่า 7.8 หยวนต่อ ดอลล่าร์สหรัฐฯ ในการซื้อขายเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา <br /><br />หากตลาดการเงินมีประสิทธิภาพในการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินแล้ว อัตราแลกเปลี่ยนที่ปรากฎในตลาด Offshore ย่อมสะท้อนถึงมูลค่าที่แท้จริงของเงินหยวน ซึ่งค่าเงินที่ระดับนี้จะเป็นระดับดุลยภาพด้วย กล่าวคือเป็นระดับที่จะขจัดความไม่สมดุลในดุลการค้าให้หมดไป และไม่ทำให้จีนได้เปรียบดุลการค้ากับประเทศอื่นๆอย่างต่อเนื่อง<br /><br />ความต่างที่มากขนาดนี้ชวนให้ตั้งคำถามต่อมาว่าเหตุใด แรงกดดันจึงพลันหายไปสิ้นเมื่อจีนประกาศปรับค่าเงินเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ อีกทั้งจีนยังแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่า ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบตะกร้าเงินที่นำมาใช้นี้ แทบจะไม่แตกต่างไปจากอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ที่ถูกแทนที่ แต่อย่างใด (สังเกตุได้จากการประกาศให้ค่าเงินหยวนสามารถเคลื่อนไหวได้เพียงในช่วงแคบๆ ไม่เกิน ร้อยละ 0.3 ต่อวัน นั่นเอง) เพราะเหตุใดประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐฯ จึงสงบนิ่งไม่ส่งเสียงเรียกร้องให้จีนปรับค่าเงินให้แข็งขึ้นกว่านี้<br /><br />เหตุผลที่ใช้อธิบายข้อสังเกตุข้างต้นนี้คงหนีไม่พ้นว่า เป็นเพราะประเทศเหล่านั้นได้ประโยชน์จากค่าเงินหยวนที่อ่อนกว่าความเป็นจริง และระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ของจีนนั่นเอง<br /><br />ผลประโยชน์ในเบื้องต้นของการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากประเทศจีนก็คือ เมื่อผู้บริโภคในประเทศคู่ค้าเหล่านั้นหันมาซื้อสินค้านำเข้าจากจีน ทดแทนสินค้าจากแหล่งผลิตอื่นๆที่มีราคาสูงกว่า จะส่งผลให้สินค้านำเข้าจากจีนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสินค้าที่ถูกนับรวมเข้าไว้ในการคำนวณค่าครองชีพ หรือดัชนีราคาสินค้าบริโภคในทันที และเนื่องจากสินค้านำเข้าเหล่านี้มีราคาถูกกว่า จึงทำให้ค่าครองชีพหรือดัชนีราคาสินค้าบริโภคมีระดับที่ลดลงจากเดิม และยังทำให้อัตราเงินเฟ้อไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงนักด้วย กล่าวได้ว่า สินค้านำเข้าราคาถูกจากจีน ช่วยเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้บริโภคในประเทศเหล่านั้น และช่วยแบ่งเบาภาระงานของธนาคารกลางในด้านการควบคุมอัตราเงินเฟ้อในประเทศเหล่านั้นอีกด้วย<br /><br />ประโยชน์ในลำดับต่อมานั้นเกี่ยวโยงกับความได้เปรียบทางการแข่งขันของจีน ที่เกิดจากการที่ระบบเศรษฐกิจจีนอุดมไปด้วยแรงงานจำนวนมากที่ยินดีทำงานเพื่อแลกกับค่าจ้างแรงงานราคาเพียงเสี้ยวเดียวของค่าแรงในประเทศพัฒนาแล้ว แรงงานเหล่านี้เป็นเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดเงินทุน (และเทคโนโลยีการผลิต) จากต่างประเทศ ให้โยกย้ายฐานการผลิตมาสู่ประเทศจีน แน่นอนที่ประเทศจีนจะได้รับประโยชน์จากการจ้างงานและการผลิตที่เกิดขึ้นตามมา และมีรายได้เป็นเงินตราต่างประเทศอย่างเป็นกอบเป็นกำจากการส่งสินค้าที่ผลิตได้นั้นไปขายยังตลาดภายนอกประเทศ แต่หากจะมองในอีกมุมหนึ่งแล้ว เจ้าของเงินทุนและเทคโนโลยีการผลิต ซึ่งก็คือบรรดานายทุนหรือบรรษัทข้ามชาติจากประเทศพัฒนาแล้วต่างหาก ที่ได้รับประโยชน์มากกว่า เพราะตามทฤษฎีว่าด้วยการผลิตของหน่วยธุรกิจนั้น รายได้จากการขายสินค้าใดๆ ก็ตามจะต้องถูกแบ่งสรรในรูปผลตอบแทนให้กับปัจจัยต่างๆที่มีส่วนร่วมในกระบวนการผลิต ซึ่งมีองค์ประกอบหลักๆ คือปัจจัยทุน และปัจจัยแรงงาน แต่เนื่องจากการผลิตที่ถูกโยกย้ายไปตั้งฐานที่ประเทศจีนนั้นใช้แรงงานในราคาที่ถูกกว่า รายได้ที่แบ่งสรรให้เป็นผลตอบแทนแรงงานจึงมีมูลค่าน้อยลงด้วย และทำให้นายทุนต่างชาติรับส่วนแบ่งจากการขายผลผลิต ในฐานะเจ้าของปัจจัยทุน ในสัดส่วนที่สูงขึ้นตามไปด้วย<br /><br />ประโยชน์ที่ตกกับบรรษัทข้ามชาติเหล่านี้จะทบทวียิ่งขึ้น หากเงินหยวนถูกตรึงค่าให้อ่อนกว่าที่ควรจะเป็น เพราะยิ่งค่าเงินหยวนอ่อนเท่าใด เงินทุนในมือของบรรษัทข้ามชาติเหล่านั้น จะมีกำลังซื้อ(ในประเทศจีน)ที่มากยิ่งขึ้นเป็นเงาตามตัว และหากทางการจีนยังคงรักษาค่าเงินหยวนให้ไม่เปลี่ยนแปลงไปจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ เช่นที่เคยปฏิบัติมา บรรษัทข้ามชาติเหล่านี้จะยิ่งได้ผลประโยชน์เพิ่มเติมขึ้นอีก จากการที่ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงในด้านปริวรรตเงินตราอีกด้วย<br /><br />จะเห็นได้ว่าทั้งค่าเงินและระบบอัตราแลกเปลี่ยน ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าใดนักนี้ เอื้อประโยชน์ให้กับบรรษัทข้ามชาติอย่างยิ่งยวด และจึงไม่น่าแปลกใจเท่าใดนักที่ เหล่าประเทศคู่ค้าของจีนต่าง “รับได้” กับการปรับค่าเงินหยวนที่เกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ...สหรัฐอเมริกา <br /><br />แม้ว่าสหรัฐอเมริกา จะมีการขาดดุลการค้ากับประเทศจีนในจำนวนมหาศาล แต่ตลาดการเงินสหรัฐฯกลับเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการขาดดุลการค้านี้ สาเหตุเป็นเพราะ จีนได้นำเงินดอลล่าร์ฯที่ได้จากการเกินดุลการค้านั้น กลับมาลงทุนในตลาดการเงินสหรัฐฯ ด้วยการเป็นผู้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯรายใหญ่ เงินดอลล่าร์ที่หมุนเวียนกลับมาลงทุนในประเทศในจำนวนมหาศาลนี้ได้ช่วยให้ระดับของอัตราดอกเบี้ยในประเทศสหรัฐฯ คงอยู่ได้ในระดับต่ำ และส่งผลให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการจ้างงานอย่างมาก ในช่วงเวลาที่ผ่านมา<br /><br />จะเห็นได้ว่าประเทศสหรัฐฯก็ได้รับผลประโยชน์กลับคืน จากการที่ขาดดุลการค้ากับจีนอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน จนทำให้รู้สึกว่า ประโยชน์ที่ได้จากการปรับค่าเงินหยวนให้สอดคล้องกับมูลค่าในดุลยภาพนั้น อาจ “ได้” ไม่คุ้ม “เสีย” <br /><br />อันที่จริงกูรูเศรษฐศาสตร์อย่าง พอล ครุกแมน ได้เคยแสดงความกังวลเกี่ยวกับประเด็นนี้ไว้้ด้วยเหมือนกัน เมื่อครั้งมาแสดงวิสัยทัศน์ที่ กรุงเทพฯ <br />ในครั้งนั้น ศาสตราจารย์ พอล ครุกแมน ได้ให้ความเห็นว่า หากจีนปรับค่าเงินหยวนขึ้น เพื่อลดการเกินดุลการค้ากับประเทศคู่ค้าแล้วไซร้ จะมีผลทำให้ความได้เปรียบทางการค้าหดหายไป และส่งผลต่อเนื่องทำให้เงินทุนจากจีน หยุดไหลเวียนกลับเข้ามายังตลาดการเงินของประเทศสหรัฐฯ <br />เมื่อแรงซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯหดหายไป ย่อมจะทำให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้น ซึ่งจะสร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ ลามต่อไปยังตลาดสินทรัพย์ โดยเฉพาะตลาดอสังหาริมทรัพย์ <br /><br />เป็นที่ทราบกันดีว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศสหรัฐฯนั้น อยู่ในช่วงภาวะฟองสบู่ เพราะอัตราดอกเบี้ยที่คงอยู่ในระดับต่ำมานาน (ย้ำอีกครั้งว่า เป็นผลจากการเกินดุลการค้าของประเทศจีนด้วยเช่นกัน) ก่อให้เกิดการเก็งกำไรในราคาของที่อยู่อาศัย ซึ่งขณะนี้ราคาได้ล่องลอยเหนือมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานไปมากแล้ว จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ฟองสบู่ที่พาให้ราคาที่อยู่อาศัยลอยสูงนั้น มักแตกโพละในทุกครั้งที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น <br /><br />ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ครุกแมนเกรงว่า หากที่จีนเลิกนำเงินดอลล่าร์ฯมาลงทุนในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯแล้ว จะผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์แตก และทำให้ราคาและมูลค่าของสินทรัพย์ รวมถึงความมั่งคั่งของครัวเรือนสหรัฐฯ ลดวูบลงในทันที นั่นย่อมหมายถึงวิกฤติเศรษฐกิจอันน่าสะพึงกลัว ที่สามารถสั่นคลอนเสถียรภาพเศรษฐกิจโลกจะเกิดขึ้นใน...ประเทศสหรัฐอเมริกา...มหาอำนาจทางเศรษฐกิจหมายเลขหนึ่งของโลก<br /><br />การปรับค่าเงินหยวนเพียงเล็กน้อย ทำให้ทุกฝ่ายสามารถดำเนินธุรกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเป็นปกติ และช่วยลดแรงกดดันทางการเมืองในประเทศพัฒนาแล้ว ที่ต่างมองว่า สินค้าราคาถูกจากจีนนั้น แย่งชิงส่วนแบ่งตลาด และงานไปจากคนในประเทศ หากแต่วิถีเช่นนี้สามารถดำเนินต่อไปได้เพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น เพราะปัญหาความไม่สมดุลต่างๆ ไม่ว่าในด้านการค้า หรือการเงินระหว่างประเทศ ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข เช่นเดียวกับระบบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ที่ประเทศกำลังพัฒนาต่างนิยมใช้เป็นเครื่องมือสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังคงอยู่ในทางปฏิบัติ เพื่อการบริหารค่าเงินหยวนให้ “นิ่ง” อยู่เสมอ เมื่อต้นตอของปัญหาความไม่สมดุลทั้งหลายยังไม่ได้รับการแก้ไข เราจึงยังไม่สามารถขีดฆ่า ความกังวลของพอล ครุกแมนเกี่ยวกับหายนะทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐฯ และสังคมเศรษฐกิจโลกได้เช่นกัน แม้ว่าค่าเงินหยวนจะมีการปรับค่าไปแล้ว แต่ปัจจัยเสี่ยงของค่าเงินหยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลงThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com4tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1123691488563485732005-08-10T23:10:00.000+07:002005-08-11T10:44:26.793+07:00ก่อนถึงรอบแบ่งกลุ่ม<a href="http://photos1.blogger.com/blogger/7438/935/1600/gerrard_mh.jpg"><img style="float:left; margin:0 10px 10px 0;cursor:pointer; cursor:hand;" src="http://photos1.blogger.com/blogger/7438/935/320/gerrard_mh.jpg" border="0" alt="" /></a><br /><br />นี่คือภาพเมื่อคืนวันที่ 25 พฤษภาคม ...<br /><br />ภาพบาดตาบาดใจแฟนผีแดงทั่วโลก (ยกเว้นคนนึงที่เห็นเม็มดีกว่า ความเป็นสาวกผีแบบ die hard) <br /><br />นับจากคืนนั้นมาถึงเมื่อคืนที่ผ่านมา ก้อสองเดือนกว่าเข้าไปแล้ว...<br /><br />สองเดือนกว่าที่ผมว่างเว้นจากการอดหลับอดนอนเพื่อรอดูการถ่ายทอดสดฟุตบอลถ้วยใหญ่ของยุโรป (แต่กลับต้องอดนอนด้วยเหตุผลอื่นแทน!) ...เมื่อคืนนี้ (ตี1สี่สิบห้า เวลาในประเทศไทย) ...ชีวิตค้างคาวเฝ้าจอตู้ดูหงส์ระเริงฟุตบอลยุโรปได้กลับมาหาผมอีกแล้ว<br /><br />แม้ว่าหงส์แดงจะได้ลงเตะในรอบคัดเลือกก่อนหน้านี้ไปแล้วถึงสองรอบ แต่คู่แข่งในสองรอบที่แล้วนั้นห่างชั้นกันจนเกินกว่่าที่เคเบิ้ลบ้านเราจะถ่ายทอดกันให้ชมทั้งนัดเหย้าและนัดเยือน และ เอล ราฟา ก้อไม่เคยจัดตัวแบบส่งชุดใหญ่ลงครบทั้งสิบเอ็ดคนเลย <br /><br />ในสองนัดก่อนหน้านี้ เบนิเตซจัดผู้เล่นดาวรุ่งลงไปคละกับผู้เล่นตัวจริง ในสิบเอ็ดคนแรกเสมอ ผู้เล่นอย่าง Medjani Potter Whitbread ต่างได้รับโอกาสลิ้มลองรสชาติฟุตบอลยุโรปกันเป็นครั้งแรก ...<br /><br />แต่มาเมื่อคืนนี้ ที่หงส์แดงต้องออกไปเยือนทีม CSKA Sofia ถึงถิ่นบัลกาเรีย เบนิเตซส่งผู้เล่นที่แกร่งที่สุดสิบเอ็ดคนแรกลงสนามเป็นครั้งแรก<br /><br />เริ่มจากผู้รักษาประตู เรย์น่า แผงหลัง ฟินแน่น คาราเกอร์ ฮูเปีย วอร์น็อค แผงกลาง การ์เซีย เจอราร์ด อลองโซ่ และรีเซ่ โดยมี ซิสเซ่ และมอริเอนเตสเป็นคู่หน้า<br /><br />มิลาน บารอสยังถูกเก็บไว้ข้างสนามเผื่อไว้ในกรณีที่จำเป็น เพราะเกรงว่าการลงสนามของเขาเพียงเสี้ยววินาทีเดียวในการแข่งขันถ้วยนี้ จะทำให้ มูลค่า ของเขาลดลงไปเนื่องจากติด "คัพไท" ไม่สามารถลงสนามให้กับทีมอื่นๆได้อีกในการแข่งขันนี้ <br /><br />(การรักษามูลค่าของบารอสไว้เช่นนี้แสดงให้เห็นชัดว่า ลิเวอร์พูลตั้งค่าหัวบารอสไว้สูงไม่น้อย และคงมีทีมระดับที่ลงแข่งในแชมเปี้ยนส์ลีกเท่านั้นที่จะมีเงินถุงเงินถังมากพอจะมาจ่ายค่าตัวของเขา)<br /><br />การจัดตัวในนัดนี้บ่งบอกถึงความสำคัญของเกมได้เป็นอย่างดี เพราะหากผ่านรอบคัดเลือกนี้ไปแล้ว หงส์แดงจะได้สิทธิเข้าไปเล่นในรอบแบ่งกลุ่มร่วมกับทีมชั้นนำของยุโรป ซึ่งนั่นหมายถึงเงินส่วนแบ่งจากการแข่งขันและการถ่ายทอดสด ที่มีมูลค่ามหาศาล อยู่เพียงแค่เอื้อม<br /><br />อย่างไรก็ดี หลายคนอาจตั้งของสังเกตุว่า CSKA เป็นไผ อ่ะ เก่งเจงป่ะ มะเห็นรู้จักเลย ทำไมหงส์ต้องจัดชุดใหญ่ลงเซิ้งแข้งด้วยอ่ะ<br /><br />ครับ วัยรุ่นสมัยนี้คงไม่รู้จักทีมจากบัลการเรียทีมนี้แน่นอน... แต่คนแก่อย่างผมน่ะสิ จำทีมนี้ได้<br /><br />สมัยก่อนโน้น ในยุคที่สโมสรฟุตบอลจากอังกฤษผูกขาดสัมปทานแชมป์ถ้วยใบนี้ ไล่มาตั้งแต่ ลิเวอร์พูล (1977-1978) น็อติ้งแฮม ฟอเรสต์ (1979-1980) ลิเวอร์พูล (1981) แอสตัน วิลล่า (1982) และลิเวอร์พูล (1984) <br /><br />ในฤดูกาล 1980-1981 ฟอเรสต์เข้าร่วมแข่งชิงถ้วยยูโรเปี้ยนคัพนี้ ในฐานะแชมป์เก่า และก้อต้องตกรอบต้นๆไปด้วยน้ำมือของ CSKA เนี่ยแหละครับ <br /><br />ในฤดูกาลเดียวกันนั้นเอง หงส์แดงเข้าแข่งถ้วยนี้ในฐานะแชมป์ฟุตบอลลีกของอังกฤษ หงส์แดงที่ผิดหวังมาจากการตกรอบถ้วยใบนี้ในรอบต้นๆถึงสองปีติดกัน สามารถฝ่าฟันหักด่านเหล่าทีมจากยุโรป จนเข้าชิง และเป็นแชมปป์ในปีนั้น เข้าใจว่าในรอบ Quarterfinal กระมังที่หงส์แดงต้องมาชนกัน CSKA จำได้ว่า หนังสือฟุตบอลในยุคนั้น รายงานไว้ว่า บ็อบ เพสลีย์ กุนซือหงส์แดงได้หารือกับ ไบรอัน คลัฟ กุนซือทีมฟอเรสต์ ผู้ซึ่งถูก CSKA ล้มมาในรอบต้นๆ เพื่อขอข้อมูลก่อนการแข่งขัน<br /><br />ความช่วยเหลือกันของกุนซือต่างสโมสรคงไม่มีให้เห็นในยุคปัจจุบัน ที่ดูเหมือนว่า ไม่เพียงแต่นักเตะที่ลงห้ำหั่นกันในสนามเท่านั้น แต่กุนซือยังไม่วายต้องกระทำสงครามผ่านสื่อใส่กันอีกด้วย<br /><br />CSKA ไม่ใช่ทีมที่มีชื่อเสียงเท่าใด ผมเข้าใจว่าเป็นสโมสรฟุตบอลของกองทัพบกบัลกาเรีย อะไรเทือกนี้ด้วยซ้ำ แต่ทีมจากยุโรปตะวันออกต่างขึ้นชื่อเรื่องเทคนิค ความสามารถเฉพาะตัว ที่เหนือกว่านักเตะอังกฤษ ดังนั้นการเตะกับทีมอย่าง CSKA จึงเป็น match ที่ tricky ไม่น้อย<br /><br />เคยอ่านมาว่า ทีมอังกฤษที่ไปเยือนถิ่นยุโรปตะวันออก ต้องเผชิญกับลูกตุกติกนอกเกม ของเหล่ากองเชียร์ เช่น การยกพวกไปทำเสียงรบกวนภายนอกโรงแรมที่พัก จนทำให้เหล่านักฟุตบอลทีมเยือนไม่สามารถนอนหลับได้ เป็นต้น<br /><br />เชื่อว่าลูกเล่นเหล่านี้คงไม่ใช้กันแล้วในยุคสมัยปัจจุบัน เพราะนักฟุตบอลระดับดารามีความเป็นสินค้าอินเตอร์สูงกว่าในอดีต แฟนบอลเจ้าถิ่นคงแห่กันไปขอลายเซ็นต์นักเตะดังของทีมเยือนซะมากกว่า จะไปบ่อนทำลายความสงบ<br /><br />สำหรับทีม CSKA ในวันนี้ก็แตกต่างจากเมื่อยี่สิบกว่าปีมาก เพราะเมื่อก่อนนั้นนักเตะในทีมทุกคนเป็นชาวบัลกาเรีย แต่ทีมที่ลงเซิ้งแข้งกับลิเวอร์พูลเมื่อคืนนี้นั้น มีนักเตะต่างชาติปะปนอยู่ไม่น้อย เท่าที่จำได้มีจากแอฟริกา และบราซิล <br /><br />หงส์แดงจัดทีมโดยใช้ผู้เล่นจากฤดูกาลที่แล้วแทบทั้งสิ้น มีเพียงผู้รักษาประตูเท่านั้นที่เป็นผู้เล่นหน้าใหม่ ...ผลการแข่งขันก็เป็นอย่างที่ทราบกัน หงส์บุกไปเอาชนะได้ 3 ประตูต่อ 1<br /><br />นัดนี้กัปตัน สตีวี่ เจิด ไม่ได้ยิง แต่เป็นผู้ใส่พานให้กองหน้าปิดสกอร์ทั้งสามลูก... โดยรวมแล้วหงส์แดงเล่นเป็นทีมได้ดี สร้างเกมรุกที่ดูน่ากลัว และน่าจะทำสกอร์ได้มากกว่า สามลูก (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มอริเอนเตส น่าจะทำแฮททริกได้ ถ้าลูกยิงลูกนั้นไม่ชนเสาออกไป) เกมรับยังมีจังหวะน่าเสียวใส้ให้เห็นเหมือนเคย และลูกที่เสียประตูก็มาจากการเปิดจากด้านขวาของแนวรับ ถ้าไม่ได้ลูกเซฟในนาทีท้ายของเรย์น่า เกมนัดที่สอง คงน่าลุ้นมากกว่านี้<br /><br />อย่างน้อยที่สุดในเกมนี้ก็ยังมีสัญญาณที่น่าจะให้ความหวังกับแฟนๆได้บ้่าง ก่อนที่จะถึงวันเสาร์แรกของฤดูกาล 2005-2006 ราฟาจัดตัวแบบกล้าเปิดเกมรุกใส่ ทั้งๆที่เป็นทีมเยือน และหงส์แดงก็สามารถคุมเกมโดยส่วนใหญ่ไว้ได้ ...สามารถสร้างเกมรุกขึ้นมา และจบลงด้วยการยิงประตูบ่อยครั้ง...น่าจะสร้างความหวังได้วว่า เกมในฐานะทีมเยือนในฤดูกาลนี้ ไม่บู่เหมือนฤดูกาลที่แล้วแน่ๆ และถ้าเทียบชั้นของ CSKA กับทีมไม้ประดับในพรีเมียร์ชิพแล้ว ปีนี้หงส์น่าจะทำผลงานเก็บแต้มจากทีมเหล่านี้ได้มากขึ้น... สามแต้มจากโอลด์แทรฟฟอร์ดควรจะเก็บมาได้ไม่ยากThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com6tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1122396461193460072005-07-26T23:37:00.000+07:002005-07-26T23:47:41.200+07:00ข่าววงใน....วงการลูกหนังโลกรีล มาดริดตกลงซื้อนักเตะใหม่ เข้ามาเสริมขุมกำลัง Galaticos แล้ว<br /><br />เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเมืองไทย ที่สนามราชมังคลา..<br /><br />นักเตะใหม่รายนี้จะได้สวมเสื้อหมายเลข 56 !!!!!The Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com9tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1122225192020903732005-07-24T23:15:00.000+07:002005-07-25T00:13:12.036+07:00Pre-season Reportความทรงจำของคืนวันที่ 25 พฤษภาคม ยังคงติดตรึงในหัวอยู่เลย...ไม่น่าเชื่อว่าเวลาจะผ่านมาแล้วเกือบสองเดือน<br /><br />และหงส์แดงก็ได้เริ่มลงแข่งในถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ไปแล้วหนึ่งรอบด้วย!<br /><br />กลางสัปดาห์ที่จะถึงนี้ จะลงเตะรอบคัดเลือกรอบที่สองนัดแรก กับทีมจากสิธัวเนีย(มั้ง) ...<br /><br />ปฏิบัติการล่าฝันของเหล่าสาวกหงส์แดง ในยุคราฟาลูชั่น ซีซั่นที่สอง เริ่มต้นขึ้นแล้ว<br /><br />ผมไม่ได้มีโอกาสชมการถ่ายทอดการแข่งขันในรอบคัดเลือกรอบแรกแม้แต่นัดเดียว แต่ได้ติดตามชมการอุ่นเครื่องกับทีมระดับท็อป 40 ของยุโรป อย่าง ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น และโอลิมเปียกอส ทางจอโทรทัศน์ทั้งสองนัด<br /><br />หงส์แดงชนะทั้งสองนัด ยิงได้ เจ็ด เสียไปสาม (คู่ซ้อมทั้งสองส่งตัวจริงลงสนามนะครับ ไม่ได้ปล่อยทีมเยาวชนลงสนามแทนนะ)<br /><br />แฟนหงส์ที่ไม่มีโอกาสได้ชม อย่างเช่นคุณ Kickoman หรือ คุณ Strawhat คงอยากทราบใช่มั้ยครับว่า หงส์ทีมนี้มัน สิงห์สนามซ้อม หมูสนามจริง หรือว่า ของแท้ที่จะมาเบียดเอาอันดับสี่คืนจากเอเวอร์ตั้นในฤดูกาลที่จะมาถึงนี้<br /><br />ผมมีคำตอบให้ครับ<br /><br />คุณทั้งสองคงติดตาข่าวคราวมาบ้าง และคงทราบว่า ราฟา เบนิเตซ จัดตัวในทั้งสองนัดแบบใช้ สองทีมในสองครึ่ง เช่นในเกมกับห้างขายยา ครึ่งแรกใช้ อลองโซ่ ยืนคู่ ฮามันน์ พอครึ่งหลังเปลี่ยนเอา เจอร์ราร์ด กับ ซิโซโก้ ลงมาแทน พอในเกมกับโอลิมเปียกอส กลับใช้คู่ เจอร์ราด กับฮามันน์ในครึ่งแรกก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น อลองโซ่ กับซิโซโก้แทนในครึ่งหลัง<br /><br />ที่น่าจับตาไม่น้อยคือ แผงหน้าที่จะใช้ในฤดูกาลที่จะถึงนี้ เพราะเมื่อซีซั่นที่แล้วต้องยอมรับว่า หน้าฝืดมั่กๆ แต่ปีนี้ ผมว่าน่าจะดีกว่าเก่านะครับ เพราะในเกมอุ่นกับห้างขายยา ซิสเซ่ ยิงสอง บารอสหนึ่ง ในนัดล่าสุดกับแชมป์จากกรีซ การ์เซียหนึ่ง มอร์ริเอนเตส หนึ่ง บารอส สอง ศูนย์หน้าตัวใหม่ ปีเตอร์ เคร้าช์ ได้ลงมาโชว์ฝีเท้าในนัดนี้ด้วย แม้ว่าจะทำประตูไม่ได้แต่ก็ช่วยให้ทีมได้ประตูขึ้นนำ<br /><br />จากผลงานอุ่นเครื่องที่ผ่านมา กองหน้าทำสกอร์ได้ทุกนัด ตรงนี้น่าจะเป็นผลดีต่อความเชื่อมั่นของผู้เล่น (ขออย่างเดียว บารอสที่กำลังโชว์ฟอร์มดี อย่าเพิ่งด่วนย้ายทีมออกไปก่อนละกัน) และจะช่วยให้การเปิดฤดูกาลใหม่นี้ พวกเขาพร้อมที่จะทำหน้าที่ล่าตาข่ายกันโดยพร้อมเพรียง<br /><br />เท่าที่สังเกตุดู ประตูที่กองหน้าทำได้ส่วนใหญ่นั้น เกิดจากการเปิดของแผงกลาง ที่อาศัยความเร็วของกองหน้าอย่างบารอส หรือซิสเซ่ วิ่งไปรับบอล ที่เปิดข้ามหัวกองหลังแทบทั้งสิ้น เป็นไปได้ว่า กุนซือหงส์อ่านออกว่า กองหลังคู่แข่งนั้นช้า หรือมีช่องโหว่ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ หรือไม่ก็ต้องให้เครดิตกับกองกลาง ที่ตาไว(ขึ้นกว่าฤดูกาลที่แล้ว) สามารถประสานงานกับกองหน้าได้เป็นอย่างดี<br /><br />ตรงนี้เองที่แฟนๆหงส์ อาจจะ (ย้ำอาจจะ) ฝันหวานได้ถึงอันดับสี่บนตาราง เพราะเราน่าจะได้เห็นเกมรุก และการเข้าทำที่มีประสิทธิภาพมากกว่าฤดูกาลที่แล้ว<br /><br />อย่างไรก็ดี การเดินเกมทางด้านริมเส้นยังไม่มีสัญญาณที่ดีฉายให้เห็นเท่าไหร่ เซ็นเด้น/การ์เซีย ทางกราบซ้าย และพ็อตเตอร์/เลอ ทัลเลค ทางกราบขวา ยังไม่ประทับใจเท่าที่ควร ไม่รู้เหมือนกันว่า ถึงเวลาเอาจริงแล้วใครจะมาทำหน้าที่ทางด้านริมเส้นทั้งสอง การเปิดเกมรุกทางด้านข้างจะมีความสำคัญมากขึ้น เพราะเมื่อมีเสาโทรเลขอย่าง เคราช์มาป้วนเปี้ยนกวนใจกองหลังฝ่ายตรงข้ามแล้ว หากมีปีกที่เปิดบอลดีๆ มาช่วยขู่ จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องกระจายกำลังออกตามแนวกว้างมากขึ้น และจะช่วยให้มีช่องว่างตรงกลาง ให้กองกลางตัวรุก อย่างเจอร์ราร์ด เติมขึ้นมาส่องประตูได้มากขึ้น <br /><br />ถ้าจะให้ผมเลือก หนึ่งในกลุ่มดาวรุ่งจากชุดเยาวชนที่น่าจะได้รับแรงหนุนให้มีบทบาทในฤดูกาลนี้มากขึ้น ผมขอเลือก สตีฟ วอร์น็อค ยิ่งเล่นยิ่งเห็นการพัฒนาว่า น่าจะเหนือว่า ตราโอเร่ ได้ในไม่ช้า เพราะทักษะดี กล้าเล่น และเวลาเติมเกมรุก เปิดบอลได้ดี ไม่ว่าจะเป็นลูกครอสเข้ามากลางให้กองหน้า หรือการเปลี่ยนแกนเกมรุก ถ้าหากเกมรับของ วอร์น็อคพัฒนาขึ้นกว่านี้ รับรองว่า ตำแหน่งแบ็คซ้ายตัวจริงไม่หนีไปไหนแน่ๆ คนนี้ล่ะครับ อลัน เคเนดี้ ในสหัสวรรษใหม่<br /><br />สำหรับพวกที่ซื้อใหม่เข้ามา ทุกคนทำผลงานได้เสมอตัวในสายตาผม อย่างเซ็นเด้นเนี่ย เคยทำมาตรฐานไว้สูงกับโบโร่ และทีมชาติฮอลแลนด์ ดังนั้นการมาเล่นให้หงส์แดง ผมจึงตั้งมาตรฐานกับเค้าไว้สูง ที่เห็นในสองเกม สองครึ่งยังไม่พอจะตอบได้ว่า ดีเหมือนที่เคยเห็นหรือเปล่า แค่ตอบได้เพียง ไม่แย่ไปกว่า แฮรี่ คีว์ล ละกัน<br /><br />ซิสโซโก้ ก็ดูไม่เลวครับ ตัดบอลใช้ได้ เก็บบอลไว้กับตัวดี แย่งยาก คงมีบทบาทในตำแหน่งมิดฟิลด์ตััวรับ มาช่วยสนับสนุนให้เจอร์ราร์ด และอลองโซ่ เดินเกมรุกได้อย่างไม่ต้องพะวงหลัง แต่จะเป็นวิเอร่าสองรึเปล่า อันนี้ต้องดูกันนานๆ <br /><br />สำหรับเคราช์ ผมว่า ราฟา คิดถูกนะครับที่ซื้อมาร่วมทีม เพราะเล่นบอลบนพื้นดี และกล้าเลี้ยงเข้าหากองหลังด้วย ลูกที่การ์เซียยิงได้ ก็มาจากเคราช์นี่แหละ ที่ลากจากนอกเขตโทษ หลอกกองหลังโอลิมเปียกอส เข้าไปได้เกือบถึงเส้นหลัง เรียกว่ามีเซ้นส์ฟุตบอลใช้ได้เลย ให้เวลากับแกหน่อย อาจะเป็น เอียน รัช คนใหม่ก็ได้<br /><br />ผมไม่อยากพูดถึงแผงหลังเท่าไหร่ เพราะในนัดที่เสียถึงสามประตูให้กับ โอลิมเปียกอส ช่วงที่เสียสองลูกติดๆกัน ผมไม่ได้ติดตามดู แต่โดยทั่วไปแล้ว กลัวใจราฟา ที่ดูจะพยายามให้ โฆเซมี เข้ามาเล่นเป็นเซนเตอร์ สงสัยแกจะติดใจ ที่ทำให้ฟูลแบ็ค อย่างคาราเกอร์ กลายสภาพมาเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟเวิร์ล คลาสได้ เลยกะปั้น เจ้าโฆเซมีบ้าง คนนี้เนี่ย ผมย้ายไปอยู่ทีมสำรองก่อนเลยเวลาเล่น FM2005<br /><br />ก้อ ต้องติดตามกันต่อไปว่า หลังจากเปิดฤดูกาลไปสามสี่นัด จากความหวังที่จะทวงคืนอันดับสี่ จะถูกยกระดับขึ้นเป็น "เบียดแย่งอันดับสามจากผีแดง" ได้หรือเปล่า หรือว่าจะต้องกลับไปลุ้นอันดับห้ากับโบลตั้นแทน<br /><br />แล้วเราจะได้รู้กันThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1121658043126135752005-07-18T09:46:00.000+07:002005-07-21T01:30:55.286+07:00A Mac Guy Revealsผมเคยมองคนที่ใช้เครื่อง Mac ด้วยความไม่เข้าใจ....<br /><br />อยากถามเหมือนกันว่า...ทำไมต้องแหกคอกด้วยอ่ะ<br /><br />ในเมื่อคนแทบทั้งโลกเค้าใช้เครื่อง PC ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows แล้วทำไมพวก "Mac Guys" เหล่านี้ถึงทำตัวแหวกแนว ใช้ของอะไรที่มันไม่เข้าพวกกับชาวบ้านด้วย<br /><br />แม้จะรู้สึกหมั่นไส้พวก Mac Guys อยู่บ้าง แต่ในใจผมนั้นกลับ แอบชมชอบรูปร่างของเจ้าเครื่องแม็คยุคแรกๆ อยู่เหมือนกัน.. ด้วยเหตุที่ว่า รูปทรงของมันดูน่ารัก เป็นตู้ๆ กระทัดรัด ตัวเครื่องกับจอติดกันเป็นชิ้นเดียว ไม่เหมือนกับพีซี ที่แยกตัวเครื่องกับจอ ออกจากกัน <br /><br />แม้ว่าจะได้เคยลองใช้เครื่องแม็คในสมัยนั้น มาบ้างแต่ผมก็ยังหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่า ทำไม..ยังมีคนที่เห็นว่าเครื่อง แม็ค ดีกว่า พีซี อยู่อีก<br /><br />จนกระทั่ง...ผมได้ไปอ่านหนังสือ เรื่อง Complexity: The Emerging Science at the Edge of Order and Chaos ของ Micheal Waldrop <br /><br />หนังสือเล่มนี้โฟกัส ชีวิตของ Brian Arthur ผู้บุกรุกพรมแดนวิชาเศรษฐศาสตร์ ด้วยแนวคิดที่ไม่เชื่อว่า โลกเราถูกจำลองได้ด้วยสมการเส้นตรง และกระบวนการผลิตแบบ Constant Returns to Scale <br /><br />ที่สำคัญ เขาเชื่อว่า กระบวนการทางสังคมและเศรษฐกิจมีวิวัฒนาการที่สลับซับซ้อน และไร้เสถียรภาพ ความแตกต่างที่เกิดขึ้น ณ จุดเริ่มต้น สามารถเปลี่ยนแปลงกระบวนการทั้งหมดที่จะตามมาได้เลย การที่วิวัฒนาการนั้นผูกโยงกับสถานะเมื่อเริ่มแรก มีชื่อเรียกว่า Path Dependence<br /><br />ตัวอย่างที่ยกให้เห็นถึง Path Dependence ได้แก่ Norm ที่เรายึดถือว่า เข็มนาฬิกาเดินวนจากด้านขวามาซ้าย เพราะการบ่งชี้ว่าเวลาได้ผ่านไปเท่าไหร่แล้วนั้น สามารถแสดงได้ด้วยระบบที่เข็มนาฬิกาเดินวนจากด้านซ้ายมาขวา เช่นกัน หรืออย่างเช่นการขับรถชิดด้านซ้ายของถนน ก็ไม่มีความแตกต่างในด้านการจัดระเบียบไปจาก ระบบที่จัดให้รถยนตร์ขับชิดด้านขวาของถนน<br /><br />เหตุที่เกิดธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้เป็นเพราะ ความบังเอิญ เพียงถ่ายเดียว เพราะว่าในเริ่มแรกนั้น เราใช้ระบบแบบนี้กัน เลยทำให้การปฏิบัติในเวลาต่อๆมา กระทำตามแบบเดิมไม่เปลี่ยนแปลง<br /><br />ในสองตัวอย่างข้างต้นนั้น สองระบบที่สามารถวิวัฒนาการขึั้นมาเป็นธรรมเนียมปฏิบััติได้นั้นมี "ประสิทธิภาพ" เท่าเทียมกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ระบบใดระบบหนึ่ง จะกลายมาเป็นบรรทัดฐานชั่วกาลนาน ได้<br /><br />แต่ก็มีหลายกรณีที่ระบบที่ "ด้อยกว่า" กลับกลายมาเป็นบรรทัดฐานแทน อาทิเช่น แป้นพิมพ์ดีดที่เราคุ้นเคยกันในเวลานี้ ที่เรียงตัวหนังสือภาษาอังกฤษเป็นแนวจากซ้ายไปขวาเป็นอักษร "QWERTY" การเรียงเช่นนี้มิได้เป็นเพราะเป็นการจัดเรียงที่ทำให้ผู้พิมพ์ทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด หรือพิมพ์ได้เร็วมากที่สุด ตรงกันข้าม การเรียงตัวหนังสือเช่นนี้ มีผลทำให้ผู้พิมพ์ พิมพ์ช้าลงกว่าเดิม แต่เมื่อเครื่องพิมพ์ที่เรียงตัวอักษรแบบนี้ใช้กันอย่างแพร่หลายมากแล้ว ผู้ผลิตทั้งหลายจึงไม่ต้องการเปลี่ยนการเรียงแป้นพิมพ์ <br /><br />ตัวอย่างที่สองคือมาตรฐานของระบบเครื่องเล่นวิดีโอเทป เมื่อครั้งที่เครื่องเล่นวิดีโอถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นสินค้าบริโภคสำหรับครัวเรือน ปรากฎว่ามีระบบของเครื่องวิดีโอที่แข่งกันอยู่สองระบบด้วยกัน คือ VHS และระบบ Betamax ในทางเทคนิคแล้ว ระบบ Betamax ดีกว่า แต่การกลับเป็นว่า ระบบ Betamax ต้องสูญพันธุ์ไปก่อน ด้วยเวลาอันรวดเร็ว ทั้งนี้เป็นเพราะเมื่อระบบทั้งสองเริ่มวางขายพร้อมๆกัน ปรากฎว่าฐานลูกค้าของระบบ VHS มีมากกว่า เลยทำให้มีเน็ตเวิร์คของคนใช้กว้างขวางกว่า ผู้ผลิตซอพต์แวร์ต่างพากันหันมาผลิตเพื่อป้อนระบบ VHS กัน และเมื่อผู้ซื้อ เห็นว่าระบบ VHS มีเครือข่ายผู้ใช้ ผู้ให้บริการ และซอฟต์แวร์ที่รองรับมากกว่า จึงต่างหันมาใช้แต่ระบบ VHS กันหมด<br /><br />ในหนังสือเล่มดังกล่าวได้พูดถึงระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ด้วย และยกให้เห็นว่า ระบบพีซี กับระบบแม็ค นั้น ก็ไม่ต่างจากกรณี VHS และ Betamax เท่าใด เพราะระบบแม็ค ดีกว่า พีซี แต่ว่าเนื่องจากเครือข่ายของผู้ใช้พีซี มีมากกว่า จึงทำให้ระบบ แม็ค ตกกระป๋องไป<br /><br />ตรงนี้เองที่ทำให้ผมเริ่มสนใจเจ้า แม็ค <br /><br />ตกลงที่เหล่าพวกแหกคอกเนี่ย เค้าใช้ของดีกว่าเรา หรือเนี่ย...<br /><br />ไม่เคยรู้มาก่อนเลยอ่ะ<br /><br />โอเคๆ รู้มาบ้างเหมือนกันว่า ไอ้ระบบปฏิบััติการ Windows เนี่ย microsoft มันลอกแบบมาจาก ระบบ OS ของแม็ค เพราะเมื่อก่อนนั้น เครื่องพีซี รันบนระบบ Dos ซึ่งเป็นระบบที่คนไม่รู้คอมฯ ไม่มีปัญญาทำอะไรกับมันได้ (หน้าจอสีเขียวๆ มีเครื่องหมายมากกว่า กระพริบ รอการคีย์คำสั่งเข้าจากผู้ใช้อยู่) ต่างจากระบบ OS ของแม็ค ที่แสดงสิ่งที่อยู่ในเครื่องคอม เป็นรูปภาพ หรือสัญญลักษณ์ที่ช่วยเหลือผู้ใช้ในการทำงาน ซึ่งแม้แต่เด็กๆก็ยังสามารถ "เล่น" กับคอมพิวเตอร์ได้บ้าง<br /><br />microsoft ขโมยลุค ของระบบ OS ไป อย่าง Recycle bin ใน windows ก้อลอกมาจาก Trash can ที่แม็คมีมานานแล้ว<br /><br />ผมเลยเริ่มหันมามองเครื่องแม็คด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป <br /><br />จนกระทั่งเมื่อ Apple ได้ออก iMac มาเขย่าวงการในราวปี 99 (มั้ง?) ผมเลยตัดสินใจลองซื้อมาใช้ดู<br /><br />รูปทรงของ iMac ให้ความรู้สึกของเครื่องแม็ค ที่ผมเคยเห็นสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน เมื่อผนวก design ที่ล้ำสมัย และสีสันที่บาดตา บอกด้วยภาษาวัยรุ่นยุคนี้ได้เลยว่า ...โดน ครับ<br /><br />iMac รุ่นที่ผมซื้อนั้น ใช้โปรเซสเซอร์ G3 มีความเร็ว 333 MHz รันบนระบบปฏิบัติการ OS 8 กว่าๆ<br /><br />คนที่รู้เรื่องแม็ค บอกกับผมว่า รุ่นนี้สวยจริง แต่มันมีข้อเสียคือ มันอัพเกรดตัวฮาร์ดแวร์ ไม่ได้เหมือนเครื่องรุ่นก่อนๆ ..ผมไม่เข้าใจ<br /><br />ก็เครื่องคอมฯ ทั่วไปมันก็งี้ไม่ใช่หรอ พอมีโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ออกมา รุ่นเก่าก็แทบโยนทิ้งได้เลย เพราะตัวฮาร์ดแวร์มันอัพให้ใช้กับเทคโนโลยีใหม่ไม่ได้ <br /><br />แต่นั่นมันพีซีครับ...ผู้รู้ท่านนั้นบอก<br /><br />ไอ้เครื่องแม็ค รุ่นตู้สี่เหลี่ยมเมื่อหลายสิบปีก่อนน่ะ เค้ายังใช้กันได้ถึงทุกวันนี้นะน้อง<br /><br />เพียงแค่เปิดข้างในออกมา ถอดตัวโปรเซสเซอร์เก่าออก ใส่ตัวใหม่เข้าไป..<br /><br />แค่นี้ก็อัพเกรดเป็นโปรเซสเซอร์ใหม่ได้แล้ว<br /><br />ผมเป็นงงกับคำตอบนี้เลยครับ...<br /><br />มิน่า คนใช้แม็ค ถึงใช้เครื่องๆนึงกันนานๆ เป็นเพราะงี้นี่เอง มันอัพเกรดกันได้<br /><br />แต่ไม่เป็นไร เครื่อง iMac ของผมอัพเกรดไม่ได้ ผมก็ไม่รังเกียจมัน <br /><br />พอใช้ไปก็เริ่มเห็นความดีมันอีกสองข้อ ข้อแรกคือ ไม่ต้องกลัวไวรัส เพราะ ไวรัสเล่นงานเฉพาะพีซี <br /><br />(เอ่อ... แต่ว่า คุณ Kickoman ต้องระวังนะครับ ผมไม่ได้หมายความว่าถ้าคุณซื้อแม็คมาใช้แล้ว คุณจะปลอดภัยจากไวรัสด้วย <br /><br />ผมหมายถึงตัวเครื่องนะครับ ที่ปลอดภัย ผู้ใช้ยังคงสุ่มเสี่ยงต่อเชื้อ HIV อยู่ แม้จะมีแม็คในครอบครองก็ตาม)<br /><br />ข้อดีประการที่สองคือ เวลาเราลงโปรแกรมในเครื่องพีซีไปแล้ว เมื่อมาทำการถอดออกภายหลัง ผมมักจะปวดหัวกับตัว popup ที่ชอบโผล่มาฟ้องว่า หาไฟล์สกุล dll ไม่เจอ พวกไฟล์ตระกูลนี้คือไฟล์อะไร อยู่ที่ไหน ทำหน้าที่อะไร ผมไม่ทราบจริงๆ มันก็ขยันถามอยู่นั่นแหละ ผมก็ต้องคอยปิดหน้าต่างหนีมัน<br /><br />เรื่องแบบนี้มันน่ารำคาญ เพราะการทำงานภายในของเครื่องมันซับซ้อนเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจ และคงไม่สามารถเรียนรู้ได้ในเวลาอันสั้น ผมอยากแค่ใช้เครื่องทำงานอย่างมีความสุข ไม่ต้องมาเจอเรื่องจุกจิกแบบนี้ <br /><br />ตั้งแต่ใช้แม็ค ผมไม่ต้องกังวลกับปัญหาพวกนี้อีกเลย<br /><br />ตลอดเวลาที่ผมใช้เครื่อง iMac นี้ จะเจออยู่สองปัญหาก็คือ หนึ่งรับส่งไฟล์กับผู้ใช้พีซี ไม่ได้ กับสองคือ การใช้ภาษาไทยกับเครื่องแม็ค ในสมัยนั้น สองระบบนี้ไม่ยอมสื่อสารกันครับ การส่งไฟล์งานที่ทำในแม็คให้กับคนใช้พีซี ทำได้เพียงการsave ไฟล์พวกนั้นในรูป rich text format เท่านั้น ซึ่งเวลาผู้ใช้พีซีเอาไฟล์ไปเปิดดู จะเห็นงานไม่ตรงกับที่เราส่งไป ส่วนภาษาไทยนั้น เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเครื่องแม็ค คงเป็นเพราะการพัฒนาซอฟต์แวร์มารองรับภาษาไทยยังทำไม่ได้ดีในยุคนั้น ทำให้การตัดคำเมื่อสิ้นบรรทัด ทำไม่ได้ดีเท่าที่ควร เป็นผลให้ข้อความในแต่ละบรรทัด โย้ไปเย้มา ดูไม่เป็นระเบียบ<br /><br />แต่ทุกวันนี้ปัญหาทั้งสองแทบไม่มีแล้ว เพราะสองระบบสื่อสารกันได้เกือบสมบูรณ์ และภาษาไทยบนแม็คในทุกวันนี้ ก็ได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่ว่าจะด้วยการใช้ hard lock (ในกรณีที่ยังคงใช้ MS Word ทำงาน)หรือ อาจเลี่ยงใช้โปรแกรม Pages ของแอปเปิลเองแทน นอกจากนี้ แม็คในวันนี้ก็มี font ภาษาไทยที่หลากหลายสวยงามกว่าพีซี ให้เลือกใช้มากมายด้วยซ้ำ<br /><br />ตอนนี้ แม็คเริ่มยึดครองตลาดได้มากขึ้น เหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนใช้ Mac กันแพร่หลายมากขึ้นคือ เจ้าเครื่อง MP3 ที่ชื่อ iPod นี่เอง Apple กลายเป็นผู้นำในตลาดเครื่องเล่น MP3 นี้ และส่งผลให้ผู้ใช้เครื่อง MP3 หันมาใช้คอมฯ ของ Apple ตามไปด้วย <br /><br />ในโลกดิจิตอล ที่ MP3 กับ คอมพิวเตอร์ เป็นสินค้าที่ใช้ร่วมกัน (Complement) ความนิยมในเครื่อง MP3 ของ Apple เลยช่วยขยายฐานลูกค้าให้กับสินค้าที่ใช้ร่วมอย่าง Mac ด้วย ตรงนี้ที่ต้องชมวิสัยทัศน์ทางการตลาดของ Steve Job CEO ของ Apple ที่เข็นเอา Mac Mini ออกมาเพื่อรองรับลูกค้าใหม่ๆของ Apple<br /><br />ใครที่อยากลองเล่นเครื่อง Mac ลองซื้อมาใช้สิครับ Mac Mini เป็นเครื่องคอมที่เล็กที่สุด ขนาดประมาณพิซซ่าแบบ personal pan ด้านหน้าเป็นช่องใส่แผ่น ด้านหลังเต็มไปด้วยช่องเสียบสายสารพัด ที่ผมแนะนำเครื่องนี้ก็เพราะ เราต่างมีคอมฯในครอบครองอยู่แล้ว ทีนี้เวลาเราซ์์ื้อรุ่นใหม่มาใช้ เราไม่ได้ซื้อแค่ตัวเครื่องใหม่ เราต้องซื้อทั้งจอ ทั้งคีย์บอร์ดใหม่ด้วย ทั้งๆที่ของเดิมที่เรามีอยู่ยังคงใช้ได้อยู่ ไม่ตกรุ่น<br /><br />ถ้าเราซื้อ Mac Mini มาใช้ เราก็ไม่ต้องทิ้ง จอ เก่า หรือ คีย์บอร์ดเก่า ขอแค่ว่า คีย์บอร์ดที่เรามีนั้นมีสายที่เสียบเข้า USB port ได้ก็พอ<br />เราจ่ายเงินแค่ ไม่ถึงสามหมื่น ก็ได้คอมฯ ใหม่ คุณภาพชั้นเลิศมาใช้แล้ว แถมยังเบาและเล็กที่สุดในโลกด้วย <br /><br />จะลองมาเป็น Mac Guy อย่างผม กับ Kickoman บ้างมั้ยครับThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1121324384814795142005-07-14T13:55:00.000+07:002005-07-14T13:59:44.826+07:00Make Poverty History กับวาระการพัฒนาเศรษฐกิจ: Director's Cutเมื่อยี่สิบปีก่อน บ็อบ เกลดอฟเป็นหัวเรือใหญ่ในการจัดมหกรรมคอนเสิร์ต Live Aid ที่รวบรวมเอาศิลปินชื่อดังในสาขาเพลงป๊อป และร๊อคในยุคสมัยนั้น มาร่วมแสดงดนตรีเพื่อชักชวนให้ประชาชนทั่วโลกร่วมบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภาวะขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงในประเทศเอธิโอเปีย<br /><br />เงินบริจาคท่ีรวบรวมได้นั้นต่อมาถูกนำไปบริหารจัดการในรูปแบบของกองทุน ซึ่งบ็อบ เกลดอฟได้ดำเนินการดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เงินทั้งหมดถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของชาวเอธิโอเปียอย่างแท้จริง กองทุนดังกล่าวปิดตัวลงเมื่อปี 1992 ภายหลังจากที่สามารถระดมเงินช่วยเหลือได้สูงถึง 144 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในวาระที่กองทุนนี้ได้ยุติบทบาทของตัวเองลง เกลดอฟได้ออกแถลงการณ์ซึ่งมีใจความบางส่่วนดังนี้<br /><br />“It seems so long ago that we asked for your help. Seven years ... you can count them now in trees and dams and fields and cows and camels and trucks and schools and health clinics, medicines, tents, blankets, clothes, toys, ships, planes, tools, wheat, sorghum, beans, research grants, workshops....I once said that we would be more powerful in memory than in reality. Now we are that memory”<br /><br />แม้ว่าเงินช่วยเหลือที่มอบให้นั้น จะช่วยให้ประเทศเอธิโอเปียได้มีอาหาร ปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต สรรพสิ่งอันจำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพ และการศึกษา แต่ความยากจนยังคงเป็นปัญหาคุกคามชีวิตชาวแอฟริกัน ...จวบจนถึงทุกวันนี้<br /><br />เมื่อวันเสาร์ที่ 2 กรกฏาคมที่ผ่านมานี้ เซอร์ บ็อบ เกลดอฟ ใช้โอกาสที่ผู้นำกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมทั้ง 8 ชาติ (G8) มาร่วมประชุมกันที่โรงแรม กลีนีเกิลส์ ในประเทศสก็อตแลนด์ ระหว่างวันที่ 6 ถึง 8 กรกฏาคม จัดมหกรรมคอนเสิร์ตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้ชื่อคอนเสิร์ตที่ล้อกับมหกรรมฯเมื่อยี่สิบปีก่อน และการประชุมสุดยอด G8 ว่า “Live8” โดยจะมีการแสดงดนตรีพร้อมๆกันในสิบมหานครทั่วโลก <br /><br />แต่ทว่าวัตถุประสงค์ของการจัดในครานี้ กลับมิใช่การระดมเงินบริจาคดังเช่นเมื่อครั้งยี่สิบปีก่อน หากแต่เป็นการรณรงค์เพื่อเชิญชวนให้ประชาคมโลก ร่วมกันแสดงจุดยืนต่อการแก้ปัญหาความยากจนในทวีปแอฟริกากันโดยพร้อมเพรียง ก่อนหน้าการประชุม G8 <br />เพราะว่าในการประชุมครั้งนี้ได้มีการบรรจุวาระเรื่องมาตรการแก้ปัญหาความยากจนในทวีปแอฟริกาเข้าไว้ด้วย ...มติของที่ประชุมว่าด้วยมาตรการแก้ปัญหา ย่อมมีผลอย่างยิ่งยวดต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในทวีปแอฟริการจำนวนมาก แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่าผู้ที่มีสิทธิขาดในการกำหนดชะตาชีวิตของประชาชนในทวีปที่ยากจนที่สุดของโลกกลับเป็นผู้นำชาติที่มั่งคั่งที่สุดในโลกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น...<br /><br />เพื่อร่วมกัน “ขจัดความยากจนให้กลายเป็นประวัติศาสตร์” (Make Poverty History) ผู้จัดคอนเสิร์ต Live8 เรียกร้องให้ผู้ชมทั่วโลกร่วมกันลงชื่อสนับสนุนข้อเรียกร้องสามประการ ที่จะถูกส่งต่อให้กับที่ประชุม G8 ข้อเรียกร้องทั้งสามประการประกอบด้วย<br /><br />หนึ่ง การแก้ไขกติกาการค้าโลกเพื่อให้เกิดความยุติธรรมต่อประเทศโลกที่สามมากยิ่งขึ้น <br /><br />สองการยกเลิกหนี้ที่ประเทศยากจนทั้งหลายไม่มีปัญญาจ่ายคืนให้กับเจ้าหนี้ต่างชาติได้อย่างครบถ้วน และ<br /><br />สาม การเพิ่มเงินช่วยเหลือให้กับประเทศยากจน และทั้งมุ่งเน้นถึงประโยชน์ที่จะตกกับประเทศผู้รับอย่างรอบคอบไตร่ตรองมากยิ่งขึ้น<br /><br />การรณรงค์ในครั้งนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มวลชนทั่วโลก สามารถมีส่วนร่วมผลักดันให้การแก้ปัญหาความยากจนในประเทศโลกที่สาม เป็นไปในทิศทางที่ประชาคมส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน เพราะผู้คนในทุกมุมโลกสามารถแสดงแสดงตนสนับสนุข้อเสนอทั้งสามได้ เพียงร่วมลงชื่อสนับสนุน ผ่านทางเว็ปไซต์ www.live8live.com ซึ่งรายชื่อของผู้สนับสนุนนี้ จะเป็นกระบอกเสียงที่สื่อฉันทามติของประชาคมโลก ให้เหล่าผู้นำชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจได้รับทราบ <br /><br />และก็เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เช่นกันที่พลังมวลชน โดยการขับเคลื่อนของมหกรรมร็อคคอนเสิร์ตสามารถโน้มน้าวให้เหล่าผู้นำชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเห็นพ้องตามข้อเสนอทั้งสามได้ โดยผู้นำ G-8 ได้สัญญาว่าจะเพิ่มความช่วยเหลือทางการเงินให้กับประเทศแอฟริกาเป็นสองเท่าภายในปี 2010 โดยระบุจำนวนเงินไว้ด้วยว่า จะเพิ่มขึ้นจาก 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปัจจุบัน เป็น 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังมีมติให้ยกเลิกหนี้ต่างประเทศทั้งหมดของประเทศแอฟริกาที่ยากจนที่สุดจำนวน 14 ประเทศ<br /><br />สำหรับในข้อเรียกร้องเกี่ยวกับกติกาการค้านั้น ทางผู้นำกลุ่มประเทศ G8 ได้สัญญาว่าจะกลับไปพิจารณา และจะทบทวนมาตรการกีดกันสินค้าจากประเทศด้อยพัฒนา หรือมาตรการการสนับสนุนวิสาหกิจในประเทศอีกรอบหนึ่งก่อน<br /><br />แม้ว่า หลายฝ่ายจะพึงพอใจกับท่าทีและข้อตกลงจากการประชุมครั้งนี้ แต่เป็นที่น่ากังขาอยู่ดีว่า ผู้นำ G8 นั้นได้บรรลุข้อตกลงดังกล่าว เพราะแรงกดดันของพลังมวลชน หรือว่าเป็นเพราะข้อเสนอทั้งสามมีเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์สนับสนุนด้วย<br /><br />หากจะพิจารณาข้อเสนอทั้งสามตามกรอบการวิเคราะห์แบบนีโอคลาสสิคอันว่าด้วยทฤษฎีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Neo-classical Growth Theory) แล้ว นักเศรษฐศาสตร์คงปัดข้อเสนอดังกล่าวทิ้งไป เพราะวิเคราะห์แล้วว่า ไม่มีผลใดๆต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศแอฟริกาในระยะยาว<br /><br />สาเหตุที่กล่าวเช่นนี้ เป็นเพราะว่าตามแนวคิดเชิงทฤษฎีนี้ ระบุว่ามาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนในระบบเศรษฐกิจใดๆในระยะยาวนั้นจะถูกกำหนดด้วย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพียงประการเดียวเท่านั้น และเมื่อทุกประเทศต่างสามารถเข้าถึงตัวเทคโนโลยีได้อย่างเท่าเทียมกันแล้ว ในระยะยาว มาตรฐานความเป็นอยู่ของทุกประเทศก็ย่อมจะมีการเติบโตในอัตราเดียวกันด้วย นั่นหมายความว่า ในอนาคตนั้น ความแตกต่างในรายได้ ระหว่างประเทศโลกที่หนึ่ง และประเทศโลกที่สาม จะไม่ปรากฎให้เห็นอีกต่อไป <br /><br />กลไกที่ทำให้มาตรฐานความเป็นอยู่ของประชาชนในต่างระบบเศรษฐกิจวิ่งเข้าหากันได้นั้น เกิดจากการที่ปัจจัยการผลิตที่แต่ละประเทศใช้นั้น (ซึ่งอาจแสดงด้วยสัดส่วนของทุนต่อแรงงานฝีมือ) ให้ผลตอบแทน (ในรูปผลผลิตส่วนเพิ่มจากการใช้ปัจจัย) ที่ลดลงตามขนาดการใช้ปัจจัย หรือที่เรียกว่า กฎการลดลงของผลตอบแทน (The Law of Diminishing Returns) <br /><br />ประเทศที่มีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจที่สูงกว่า หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง มีสัดส่วนทุนต่อแรงงานฝีมือที่มากกว่า ย่อมมีผลตอบแทนต่อปัจจัยทุนต่ำกว่า ประเทศที่มีระดับการพัฒนาเศรษฐกิจต่ำกว่า (ตาม The Law of Diminishing Returns) ดังนั้นในภาวะตลาดการเงินโลกที่เงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศได้โดยเสรี เราจะเห็นเงินทุนหรือปัจจัยทุนเคลื่อนย้ายจากประเทศพัฒนาแล้ว มาสู่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อแสวงหาผลตอบแทนต่อปัจจัยทุนที่สูงกว่า และด้วยกลไกนี้เองที่จะช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนามีปัจจัยทุนเพิ่มมากขึ้น และมีสัดส่วนของทุนต่อแรงงานฝีมือ เพิ่มขึ้นตามไปด้วย การเคลื่อนย้ายของเงินทุนจะดำเนินไปจนกว่า ระดับของปัจจัยทุนต่อแรงงานฝีมือในประเทศพัฒนาแล้วจะอยู่ในระนาบเดียวกันกับระดับของปัจจัยทุนต่อแรงงานฝีมือในประเทศด้อยพัฒนา (ซึ่งหมายความว่าอัตราผลตอบแทนของปัจจัยทุน ระหว่างสองประเทศนี้จะต้องเท่ากันด้วย)<br /><br />ตามแนวคิดทฤษฎีนี้ กลไกในระบบเศรษฐกิจโลกเสรี มีเพียงพอที่จะช่วยเหลือให้ประเทศยากจน สามารถพัฒนาขึ้นมาเป็นประเทศร่ำรวยได้ หากเพียงประเทศกำลังพัฒนาสามารถ ขจัดอุปสรรคที่กีดกั้นการถ่ายทอดเทคโนโลยี และกีดขวางการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรีออกไปให้หมดสิ้นได้<br />แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากงานวิจัยของโปรเฟสเซอร์ โรเบิร์ต โซโลว์ (Prof. Robert Solow) นักเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย M.I.T. ที่คิดค้นทฤษฎีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ตั้งแต่ ปี 1956 (ซึ่งงานวิจัยชิ้นนี้ ทำให้โปรเฟสเซอร์ โซโลว์ ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาเศรษฐศาสตร์เมื่อปี คศ 1987) อย่างไรก็ดี มุมมองจากทฤษฎีว่าด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจแนวใหม่ กลับเห็นไปในทางตรงกันข้าม<br /><br />ตามแนวคิดทฤษฎีการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่นั้น (New Growth Theory) เชื่อว่า ความแตกต่างในมาตรฐานความเป็นอยู่ของผู้คนต่างระบบเศรษฐกิจ อาจปรากฎอยู่ตลอดไปได้ และในที่สุดแล้ว ประเทศในโลกอาจถูกแบ่งแยกตามระดับรายได้ออกเป็นสองขั้วที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ขั้วที่หนึ่งคือ กลุ่มของประเทศยากจน และขั้วที่สองคือกลุ่มของประเทศร่ำรวย ความเหลื่อมล้ำของรายได้ระหว่างประเทศจะเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่อาจลบไปจากประวัติศาสตร์ได้<br /><br />ข้อสรุปของแนวคิดนี้สอดคล้องกับอนิจจะลักษณะที่พบในประเทศยากจน ที่ตกอยู่ในวังวนของสภาพ “โง่ จน เจ็บ” เราจะเห็นได้ว่ากลุ่มประเทศยากจนในโลกมักจะถูกรุมเร้าด้วยปัญหาการขาดแคลนอาหาร ปัญหาความอดอยาก ถูกคุกคามด้วยโรคร้าย และไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือ ประชาชนในประเทศเหล่านี้ไม่สามารถหลุดออกจากกับดักความยากจนนี้ได้ ดังนั้นรายได้ของประเทศเหล่านี้จะอยู่ที่ขั้วที่หนึ่งไปตลอดกาล<br /><br />ภาวะเช่นนี้สอดรับกับข้อเสนอที่เรียกร้องให้เพิ่มเงินช่วยเหลือให้กับประเทศยากจนเป็นอย่างดี เพราะเงินช่วยเหลือจำนวนที่มากขึ้นนั้น สามารถช่วย “ผลัก” ให้ประเทศยากจนหลุดออกจากกับดักความยากจนข้างต้นได้ ตัวอย่างเช่น เงินช่วยเหลือที่ได้รับนั้น สามารถนำมาใช้ซื้อหายารักษาโรค หรือใช้เพื่อการขจัดต้นตอของโรคร้าย ให้หมดสิ้นไปได้ ดังนั้นเงินช่วยเหลือที่ได้รับนั้น สามารถช่วยตัดตอนวงจร โง่ จน เจ็บ นี้ได้ แคมเปญ “Make Poverty History” ตอกย้ำตลอดว่า คนจำนวน 50,000 คนต้องเสียชีวิตลงทุกๆวัน ด้วยโรคที่สามารถรักษาได้ ดังนั้นข้อเสนอว่าด้วยเงินช่วยเหลือที่เพิ่มมากขึ้นนี้ ได้รับเสียงสนับสนุนอย่างเต็มที่จากแนวคิดทฤษฎีการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่<br /><br />ผลของการยกเลิกหนึ้ต่างประเทศก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หากใครได้มีโอกาสเข้าไปชมเว็ปไซต์ของแคมเปญนี้ จะพบข้อความที่กล่วถึงผลของการลดภาระหนี้ต่างประเทศในประเทศแทนซาเนีย ในเว็ปนั้นกล่าวว่า ภาระหนึ้ต่างประเทศที่ลดลงช่วยให้รัฐบาลแทนซาเนียสามารถยกเลิกค่าเล่าเรียนในระดับประถมได้ และช่วยให้จำนวนนักเรียนประถมเพิ่มสูงขึ้นถึง 66 เปอร์เซ็นต์ ในประเทศ เบนิน เงินที่ประหยัดได้จากภาระหนี้ช่วยให้รัฐบาลสามารถมีงบประมาณในการใช่จ่ายเพื่อสาธารณสุขมูลฐาน และโครงการรักษาผู้ติดเชื้อ HIV ได้เพิ่มมากขึ้น และในประเทศอูกันดา ภาระหนี้ที่ลดลง ช่วยให้คนจำนวน 2.2 ล้านคนสามารถมีแหล่งน้ำสะอาดเพื่อใช้ยังชีพ<br /><br />จะเห็นได้ว่าการลดภาระหนี้ต่างประเทศช่วยให้หลายๆประเทศมีทรัพยากรที่จัดสรรให้กับ การศึกษา และสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น ซึ่งทั้งสองด้านนี้มีผลต่อการสั่งสมและพัฒนา ทุนมนุษย์ หรือ Human Capital ซึ่งเป็นจักรกลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามแนวคิดทฤษฎีการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ ดังนั้นข้อเสนอที่ว่าด้วยการยกเลิกหนี้นั้น ก็ได้รับเสียงสนับสนุนด้วยเช่นกัน<br /><br />สำหรับในประเด็นของกติกาการค้าโลกนั้น ในทางทฤษฎีนั้นการเปิดตลาดการค้าเสรี สำหรับการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ย่อมส่งผลดีต่อประเทศกำลังพัฒนาอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่หลักฐานที่ปรากฎในขณะนี้นั้นยังไม่ชัดเจนพอที่จะสรุปได้ว่า กติกาในปัจจุบันนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาเสียทีเดียว เพราะประเทศกำลังพัฒนาในภูมภาคเอเซียจำนวนมากต่างมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดได้ ก็ด้วยอาศัยการผลิตเพื่อการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อน ดังนั้นข้อเรียกร้องนี้จึงยังไม่ได้รับข้อสนับสนุนเท่าใดนัก หากพิจารณาข้อเท็จจริงที่ปรากฎกับประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคอื่นประกอบ <br /><br />ประเด็นทั้งสามนี้ยังคงมีคุณค่าเพียงพอ สำหรับนักเศรษฐศาสตร์ที่จะช่วยกันศึกษาเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ดียิ่งขึ้นต่อไป แต่กว่าที่เราจะมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ กระจ่างชัดในประเด็นทั้งสาม อาจใช้เวลานานเกินกว่าที่ชีวิตที่กำลังรอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนจะรอได้ นับเป็นเวลาเกือบยี่สิบปีแล้วที่ทฤษฎีการเติบโตทางเศรษฐกิจใหม่ได้มีการนำเสนอในแวดวงวิชาการ และสาขาวิชานี้ได้เติบโตอย่างมากตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายว่าองค์ความรู้ที่เพิ่มพูนขึ้นมานั้นยังไม่สามารถช่วยให้เราตอบโจทย์ของการขจัดความยากจนให้หมดสิ้นไปได้ กุศโลบายในระยะสั้นนี้คงมีแค่ ช่วยเหลือให้ประชาชนในทวีปแอฟริการได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก่อน แล้วเราค่อยช่วยกันหาคำตอบทางเศรษฐศาสตร์กันภายหลัง ก็แล้วกันThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1118595555100807392005-06-12T22:46:00.000+07:002005-06-13T15:25:06.826+07:00It Was Twenty Years Ago Today...: Part IIธันวาคม 1994<br />...<br /><br />บ็อบ เกลดอฟตั้งเป้าไว้ว่า ซิงเกิ้ล "Do They Know It's Christmas?" น่าจะทำยอดขายได้ราว 72,000 ปอนด์ แต่ทว่ากระแสตอบรับจากสาธารณชนนั้นแรงเกินกว่าที่เขาคาดไว้ ยอดขายได้ทะลุเป้า 72,000 ปอนด์ แทบจะในทันทีที่แผ่นวางตลาด ซิงเกิ้ลนี้ขาดได้ทั้งสิ้น สามล้านแผ่น และได้กลายเป็นซิงเกิ้ลที่ขายดีที่สุดตลอดกาลของอังกฤษ เมื่อรวมกับยอดขายในประเทศอื่นๆทั่วโลกแล้ว "Do They Know It's Christmas?" ทำเงินได้ทั้งสิ้นเป็นเงิน แปดล้านปอนด์<br /><br />การเคลื่อนไหวของ Band Aid ส่งผลกระทบข้ามไปยังอีกฟากฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติกด้วย ศิลปินอเมริกันต่างพากันมารวมตัวออกเพลงมาร่วมซับน้ำตาชาวแอฟริกันกับเขาด้วย โดยตั้งชื่อกลุ่มการเคลื่อนไหวนี้ซะเท่ห์ระเบิด(จริงๆแล้ว เห่ยสุดๆ)ว่า "USA for Africa" ซิงเกิ้ลที่ทางฝั่งอเมริกาออกมานั้นชื่อว่า "We Are The World" <br /><br />ซิงเกิ้ลนี้ได้รับความนิยมและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์มากกว่า "Do They Know It's Christmas?" นั่นเป็นเพราะว่าศิลปินในฟากฝั่งอเมริกันที่เข้าร่วมร้องในเพลงนี้นั้น เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกมากกว่ากลุ่ม Band Aid <br /><br />แต่ในทางคุณภาพของงานเพลงแล้วนั้น "Do They Know It's Christmas?" เต็มเปี่ยมกว่า ทั้งยังให้สัมผัสแห่งพลัง และการเรียกหา Public Awareness ที่มี staying power อยู่จวบจนถึงทุกวันนี้ (ตรงกันข้ามกับ "We are the world" ที่ผมกลับรู้สึกสะอิดสะเอียนทุกครั้ง ที่นึกภาพ ไมเคิล "ตุ๋ย" แจ็คสัน ร้องท่อน "We are the world. We are the Children" ) <br /><br />....<br /><br />มีนาคม 1995<br /><br />อาหารและยารักษาโรคล็อตแรกที่ซื้อหาด้วยเงินจากการขายแผ่น "Do They Know It's Christmas?" ถูกจัดส่งไปยังเอธิโอเปีย ผลงานชิ้นแรกอันเป็นรูปธรรมที่สุดจากความพยายามของสองคู่หู เกลดอฟ และยัวร์ ความช่วยเหลือจากแหล่งต่างๆ ทั้ง USA for Africa , Northen Lights จากแคนาดา และที่อื่นๆ เริ่มทยอยตามมา แต่เกลดอฟ คิดว่ามันยังไม่เพียงพอ..<br /><br />เขาเริ่มดำเนินการในโครงการต่อไปทันที นั่นคือโครงการคอนเสิร์ท สองฟากมหาสมุทรแอทแลนติส ที่ชื่อว่า "Live Aid"<br /><br />...<br /><br />13 กรกฎาคม 1995<br /><br />สนามกีฬา เวมบลีย์ในกรุงลอนดอน <br /><br />เมกกะแห่งสังเวียนลูกหนังโลก ในวันนี้ นั้นคราคร่ำไปด้วยฝูงชนนับแสน ที่มารวมตัวกัน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของมหกรรมดนตรีครั้งประวิัตศาสตร์ <br /><br />เมื่อนาฬิกาเดินผ่านเวลาเที่ยงวัน คอนเสิร์ท Live Aid ก็ได้ฤกษ์ เปิดการแสดง โดยในอีกสามชั่วโมงข้างหน้า เวทีที่สนาม JFK ในเมืองฟิลาเดลเฟีย ประเทศสหรัฐฯ ก็จะเริ่มเปิดการแสดงตาม ประชาชนจะได้ชมคอนเสิร์ทที่เล่นพร้อมกันในสองทวีป มหกรรมคอนเสิร์ทนี้ได้มีการถ่ายทอดไปยังหลายประเทศทั่วโลก (ซึ่งแน่นอน ไม่รวมประเทศไทยของเรา) และมีการเรียกร้องให้ผู้ชมช่วยกันโทรเข้ามาร่วมบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเอธิโอเปีย ตลอดการแสดง ในลักษณะของความพยายามที่จะ ระดมเงินบริจาคให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน มหกรรมคอนเสิร์ทนี้จะจบลงในค่ำคืนของวันที่ 13 กรกฎาคมนี้<br /><br />คงไม่มีเพลงร็อคใด จะมีความเหมาะสมกับเพลงเปิดมหกรรมคอนเสิร์ทนี้มากไปกว่า เพลง "Rocking All Over The World" ของวง Status Quo อีกแล้ว เบสิคร็อคแอนด์โรล สามคอร์ด เล่นกันแบบดิบๆด้วย กีต้าร์ เบส และกลอง เสริมด้วยเสียงเปียโน ที่ให้อารมณ์ย้อนยุคกลับไปสู่สมัย Bill Harley และ Chuck Berry ต้นตำหรับดนตรีร็อคแอนด์โรล แบบดั้งเดิม..นี่คือบทโหมโรงจากวงร๊อคที่กล้าตกยุคสมัย ไม่เคยโอนอ่อนตามกระแสดนตรีที่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ทุกวันนี้พวกเขายังคงเล่นเพลงร็อคแบบเดิมของเขาอยู่....<br /><br />แต่ละวงที่ขึ้นเล่นมีเวลาประมาณ 17 นาที ที่จะสร้างความบันเทิงให้กับผู้ฟัง<br /><br />Stlye Council ขึ้นเวทีเป็นวงที่สอง Paul Weller นิวเคลียสของวง โยนภาพลักษณ์เดิมของ พังค์หนุ่มผู้เกรี้ยวกราดแห่งวง The Jam มาในลุคที่ลำลองแบบมีสไตล์ พร้อมกับคู่หู Mick Talbot เจ้าของเสียงออร์แกนอันเป็นเอกลักษณ์ของวง <br /><br />แนวเพลงของวงนี้เป็นอย่างชื่อที่ตั้งจริงๆ การผสมผสานที่ลงตัวของ ป็อป ร็อค แจ็ส โซล และบลูส์ เพลงที่วงนำมาเล่นในงานนี้ชวนให้ขยับแข้งขยับขาเต้น ไปตามจังหวะ และเสียงเครื่องเป่าที่เร้าใจ แต่ที่ปลุกเร้าใจไม่แพ้กันก็คือ เนื้อเพลงที่เรียกร้องเสรีภาพ ความเท่าเทียม และการร่วมแรงก่อการปฏิวัติ <br /><br />"If you lay no blame to the feet of next door<br />And realize this struggle is also yours<br />And without the strength of us all together<br />The world as it stands will remain forever<br />Then take this challenge and make it exist!<br />Rise up as an Internationalist!..<br /><br />If your eyes see deeper than the colour of skin<br />Then you will also see we are the same within<br />And the rights you expect are the rights of all<br />Now it's up to you to lead the call<br />The liberty must come at the top of the list<br />Stand proud as an Internationalist!..."<br /><br />(Internationalists)<br /><br />Weller เปลี่ยนเพียงภาพลักษณ์ของเขาในการนำเสนอบทเพลง แต่ตัวตนยังเป็นเช่นเดิมเหมือนสมัยอยู่ The Jam เขาตอกย้ำจุดยืนด้วย Walls come tumbling down บทเพลงต่อต้านสังคมอังกฤษในขณะนั้น ที่พรรคอนุรักษ์นิยมยึดครองบ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิ่ง เป็นแหล่งพำนักถาวร (ในบทเพลงนี้ Weller ใช้คำเรียกว่า Public Enemy number 10)<br /><br />"You don't have to take this crap<br />You don't have to sit back and relax<br />You can actually try changing it<br />I know we've always been taught to rely<br />Upon those in authority<br />But you never know until you try<br />How things just might be<br />If we come together so strongly<br /><br />Are you gonna try and make this work <br />Or spend your days down in the dirt <br />You see things can change<br />YES and walls can come tumbling down!"<br /><br />(Walls come tumbling down)<br /><br />เชื้อไฟถูกโหมให้ลุกโชนขึ้น เมื่อ Man of the moment บรุษผู้ก่อกระแสการเคลื่อนไหวในครั้งนี้เดินขึ้นเวทีพร้อมกับ แบนด์ของเขา <br /><br />บ็อบ เกลดอฟ กับวง Boomtown Rats ขึ้นแสดงเป็นวงที่สาม ฝูงชนที่ยัดทะนานเข้ามาเต็มความจุของสนามเว็มบลีย์ ส่งเสียงต้อนรับวีรบุรุษของพวกเขากันอย่างกึกก้อง<br /><br />เกลดอฟ เป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง รูปหน้ายาวไม่แพ้ รุด ฟานนิสเตอรอย ศรีษะเขาปกคลุมด้วยผมเผ้าที่ยาวและยุ่งเหยิง ด้วยรูปลักษณ์ของหนุ่มมาดเซอร์ ใครจะไปเชื่อว่า นี่คือ บุคคลที่ลุกขึ้นมาปลุกระดม และเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวที่เริ่มต้นจากเดือนพฤศจิกายนปีก่อนหน้า <br /><br />เพลงฮิตที่สุดของวง "I don't like Mondays" ถูกนำมาเล่นเป็นเพลงแรก บทเพลงที่มีเมโลดี้สุดไพเราะ และดนตรีสุดอลังการ เริ่มจากเสียงเปียโนที่ปูพรม ช่วยขับเสียงร้องของเกลดอฟให้โดดเด่นยิ่งขึ้น เนื้อร้องที่บรรยายโศกนาฏกรรมในประเทศอังกฤษ ต้นยุค 80 ค่อยๆพรั่งพรูจากปากของเกลดอฟ<br /><br />"The silicon chip inside her head get switched to overload<br />And nobody's gonna go to school today, she's gonna make them stay at home..."<br /><br />ไม่มีใครคิดว่า เด็กผู้หญิงวัยสิบหกผู้แสนเรียบร้อย บริสุทธิ์ จะพกพาปืนของผุ้เป็นพ่อ ไปไล่ยิงเพื่อนฝูงที่โรงเรียน เพียงเพราะว่า เธอไม่ชอบ "วันจันทร์" และไม่อยากจะให้ใครไปโรงเรียนในวันนี้<br /><br />"Tell me why. I don't like Mondays.<br />Tell me why. I don't like Mondays.<br />I wanna shoot the whole day down."<br /><br />แม้ว่าเนื้อเพลงจะแฝงด้วยความรุนแรง และเรื่องราวน่าสลด แต่พลังของเกลดอฟที่แสดงออกมานั้น น่าเกรงขามยิ่งกว่า ภาพบ็อบ เกลดอฟ ยืนนิ่งชูกำปั้นขึ้น เมื้อสิ้นสุดเนื้อร้องท่อน "And the lesson today is How to die!" สะกดฝูงชนในเวมบลีย์ให้นิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะระเบิดเสียงเฮ สนั่นตามมา <br />....<br /><br />ภาพของเขาในตอนนั้นดู Larger than life จริงๆ...The Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1118515615566924992005-06-12T01:44:00.000+07:002005-06-12T01:50:09.523+07:00It Was Twenty Years Ago Today..: Part Iคืนวันหนึ่งในเดือนตุลาคม ปี1994 <br /> บ็อบ เกลดอฟ ได้เห็นภาพประชาชนในประเทศเอธิโอเปียจำนวนมาก ที่ทยอยเสียชีวิตเพราะไม่มีอาหารจะกิน จากรายการข่าวของบีบีซี ประชาชนเหล่านี้ต้องอพยพจากหมู่บ้านที่เคยอยู่อาศัย เพราะเกิดสงครามแบ่งแยกดินแดนในทางตอนเหนือของประเทศ และจำต้องอพยพลงมาทางพื้นที่ตรงกลางประเทศที่ทั้งแห้งแล้ง และกันดาร รัฐบาลเอธิโอเปียพยายามให้ความช่วยเหลือ โดยการส่งอาหารและน้ำมาให้เป็นครั้งคราว ซึ่งแน่นอน..มันไม่เพียงพอที่จะประทังชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นได้…เกลดอฟถึงกับตะลึงในความโหดร้ายของภาวะความอดอยากที่เกิดขึ้นกับประชาชนเหล่านั้น <br /><br />สถาพทางร่างกายของผู้คนในค่ายผู้ลี้ภัยนี้ แตกต่างจากสภาพ “มนุษย์ปุถุชน” ที่พวกเราคุ้นตากันโดยสิ้นเชิง รูปศรีษะของพวกเขากลมโต ย้อยไปด้านหลัง คล้ายกับภาพวาดมนุษย์ต่างดาวในจินตนาการของนักแต่งนิยาย Sci-fi รอบตาเว้าเข้าเป็นร่องลึก เน้นให้เห็นแววตาที่ไร้ประกายและหมดหวัง ร่างกายของพวกเขานั้นแทบจะไม่มีไขมันซ่อนอยู่ภายใต้ผิว ทำให้ผิวหนังนั้นแนบติดกับกระดูก จนทุกย่างก้าวของพวกเขาละม้ายกับโครงกระดูกที่เดินได้จริงๆ <br /><br />ที่น่าสงสารที่สุดคือ เด็กและเด็กแรกเกิดในค่ายอพยพนี้ เมื่อไม่ได้รับทั้งอาหาร น้ำและยารักษาโรค ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการยังชีพ วิญญาณจึงพร้อมจะหลุดลอยจากร่างที่อ่อนเปลี้ยนี้ได้ทุกเมื่อ…<br />รายงานข่าวของบีบีซี ระบุว่า ในทุกๆยี่สิบนาที จะมีผู้คนเสียชีวิตหนึ่งคนเสมอ <br /><br />บ็อบ เกลดอฟ นักร้องและนักแต่งเพลงของวง The Boomtown Rats อึ้งไปกับภาพที่ปรากฎบนจอทีวี ความหายนะที่เกิดกับประชาชนจำนวนมากในอาฟริกาทำให้เขาได้คิดทบทวนถึงตัวเขา และสังคมรอบข้าง สังคมที่เต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ เพียบพร้อมด้วยปัจจัยสี่ และสารพันสิ่งของฟุ่มเฟือยเกินพอ ความอดอยากแร้นแค้นไม่ใช่ปัญหาในสังคมนี้ แต่กลับเป็นโรคอ้วน หรือการบริโภคจนเกินปริมาณอันควร …<br /><br />ที่จริงแล้วนักร้องนักแต่งเพลงอย่างเขามีชีวิตที่ดี ร่ำรวยขึ้นมาได้ ก็เพราะสังคมรอบข้างเขานั่นแหละ ที่สั่งสมความมั่งคั่งไว้จนเกินพอ จึงมีเงินเหลือใช้ พอให้จับจ่ายซื้อหาความบันเทิงในรูปเสียงเพลงได้ …เกลดอฟ เป็นเพียงหนึ่งชีวิตที่โชคดี..ได้เกิดมาในสังคม ที่สงบสุข ไม่มีสงครามกลางเมือง ไม่เป็นลูกหนี้ของต่างชาติ และไม่ประสบปัญหาความอดอยากแร้นแค้น…<br /><br />ด้วยบทบาทของนักดนตรีโดยทั่วไปแล้ว คุณค่าของเขาเหล่านั้นต่อสังคมคงมีเพียงการให้ความสุขด้วยเสียงเพลงแก่ผู้ฟัง และคงไม่สามารถทำอะไรอย่างอื่นได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความยากจนในประเทศโลกที่สาม…<br /><br />แต่บ๊อบ เกลดอฟ has another idea เขาไม่ยอมให้ภาพอันน่าสลดทางทีวีนั้นผ่านไปโดยมิได้ลงมือทำอะไร ในเมื่อสิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดคือดนตรี และเสียงเพลง เขาจึงวางโครงการระดมทุนด้วยการทำเพลงสำหรับช่วงเวลาคริสต์มาส โดยการนำผองเพื่อนศิลปินร่วมสมัย มาช่วยกันร้องและเล่นดนตรี ผลิตแผ่นเสียงออกขาย เพื่อนำรายได้นั้นส่งต่อให้กับประเทศเอธิโอเปีย <br /><br />โครงการของเกลดอฟได้รับการตอบรับจาก มิดจ์ ยัวร์ จากวง Ultravox โดยทั้งคู่ได้ร่วมแต่งเพลง Do they know it’s Christmas ออกมา และช่วยกันทาบทามศิลปินรายอื่นๆมาเข้าร่วมบันทึกเสียงเพลงนี้….<br /><br />พฤศจิกายน 1994 <br /><br />เหล่าศิลปินร่วม 40 ชีวิตได้พากันเดินเข้าห้องอัดเสียงในกรุงลอนดอน ไล่เรียงจากรุ่นใหญ่อย่าง พอล แมคคาร์ทนี่ย์ เดวิด โบวี่ เจมส์ เทเลอร์ ไปจนถึงพวกขวัญใจขาโจ๋ ในยุคนั้น อย่าง Wham Duran Duran U2 และ Spandau Ballet ภาพที่บันทึกการอัดเสียงแสดงให้เห็นว่า นักร้องนักดนตรีแต่ละรายนั้นมิได้พกพาอีโก้ติดตัวมาร่วมงานแม้แต่น้อย ภาพความร่วมมือร่วมใจกันระหว่างศิลปินต่างวง ช่วยสร้างบรรยากาศงานการกุศลได้เป็นอย่างดี วงเฉพาะกิจวงนี้มีชื่อว่า Band Aid และเมื่อเพลง Do they know it’s Christmas ได้นำออกจำหน่ายในเดือนต่อมา มันก็วิ่งขึ้นอันดับหนึ่งในเวลารวดเร็ว และยังคงเป็นเพลงที่มียอดขายอันดับหนึ่งของประเทศอังกฤษมาจนถึงทุกวันนี้<br /><br />เพลงนี้เริ่มต้นด้วยเสียงกลอง ที่ตีเป็นจังหวะช้าๆ สะดุดๆ ต่อด้วยเสียงระฆังที่ชวนให้นึกถึงบรรยากาศวันคริสต์มาส<br />Paul Young ร้องเป็นคนแรก ด้วยน้ำเสียง Blue eyes soul ช้าๆ แต่บาดลึก บรรยายบรรยากาศคริสต์มาสในประเทศโลกที่หนึ่ง<br />“It’s Christmas time,<br />There’s no need to be afraid.<br />At Christmastime,<br />We let in light and we banish shade”<br />Boy George ต่อด้วยน้ำเสียงติดแหบ…<br />“And in our world of plenty<br />We can spread a smile of joy<br />Throw your arms around the world<br />At Christmas time..”<br />กีต้าร์ เบส และกลอง เริ่มเล่นอย่างกระหึ่ม พร้อมๆ กับเสียงเรียกร้องจาก George Michael<br />“But say a prayer,<br />Pray for the other ones”<br />และ Simon Lebon<br />“At Christmastime it’s hard but when you’re having fun”<br />ใช่สิ ช่วงเวลาคริสต์มาส ย่อมเป็นเวลาแห่งความสุข สนุกสนาน แต่มันก็เป็นโอกาสดี ที่เราจะได้สวดมนต์ เผื่อแผ่ ความปรารถนาดีให้กับผู้ที่กำลังอยุ่ในความลำบากด้วยเช่นกัน<br />“เพราะว่าในอีกซีกโลกหนึ่งนั้น เป็นโลกที่มีแต่ความหวาดกลัว ชวนสยอง…<br />น้ำที่ไหลรินในโลกซีกนั้นมีเพียงหยาดน้ำตาอันขมขื่น…<br />และ เสียงระฆังในช่วงคริสต์มาสสำหรับดินแดนนั้น ..มันกลับเป็นเสียงแช่ซ้องของความหายนะ..”<br />…<br />เนื้อเพลงที่เตือนใจปุถุชนในโลกที่เต็มไปด้วยความเกินพอ ถูกขับออกมาด้วยน้ำเสียงของ Bono แห่งวง U2<br />“Well tonight thank God it’s them …..instead of you”<br />……<br /><br />“And there won’t be snow in Africa this Christmas time.<br />The greatest gift they’ll got this year is life.<br />Where nothing ever grow.<br />No rain or rivers flow.<br />Do they know it’s Christmas time at all?”….<br /><br />บทเพลงนี้จบลงด้วยเสียงร้องอย่างพร้อมเพรียงของเหล่าศิลปิน Band Aid ทั้งหมด <br />“Feed the world, let them know it’s Christmas time again..”<br /><br />สุดยอด…ผมขนลุกทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกร้อง นี้ <br /><br />Like a war cry to end famine, to fight poverty , and to make the world more equal.<br /><br />พิสูจน์แล้ว..ว่า..พลังของเสียงดนตรีสามารถทำให้โลกน่าอยู่ขึ้นได้…<br /><br />ขอก้มหัวคารวะให้กับ ..ท่านเซอร์ บ็อบ เกลดอฟ อัศวินแห่งอาณาจักรบริเทน…และ..<br /><br />Long Live Rock n’ Roll<br /><br />(โปรดติดตาม ภาคสอง : มหกรรมคอนเสิร์ทสะท้านโลก Live Aid ที่นี่ เร็วๆนี้)The Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com2tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1118201221103130632005-06-08T10:26:00.000+07:002005-06-08T10:29:03.913+07:00ดอกเบี้ย ค่าเงิน และการขาดดุลการค้าภายหลังการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา คณะกรรมการฯมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับร้อยละ 2.25 ต่อปี ซึ่งหากพิจารณาเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯแล้ว จะพบว่าอัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯอยู่ 0.75 เปอร์เซ็นต์ต่อปี นักวิชาการบางท่านได้แสดงความกังวลว่า จะเกิดภาวะเงินทุนไหลออกจากตลาดเงินของประเทศไทย เพราะด้วยวิสัยของนักลงทุนที่ต้องการสร้างกำไรสูงสุดจากเงินทุนที่มีอยู่ ย่อมทำการเคลื่อนย้ายเงินทุนจากแหล่งที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปยังแหล่งที่ให้อัตราผลตอบแทนที่สูงกว่า <br /><br />อย่างไรก็ดี ภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบัน การพิจารณาแต่เพียงส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยมิอาจชี้ขาดโดยทันทีได้ว่าเงินทุนจะต้องถูกโยกย้ายออกไปจากประเทศไทย เพราะในการเปรียบเทียบผลตอบแทนจากการลงทุนระหว่างประเทศที่ถูกต้องครบถ้วนนั้น จะต้องนำเอาผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในอัตราแลกเปลี่ยนมารวมเข้าไว้ด้วย ซึ่งส่วนการเปลี่ยนแปลงในค่าเงินนี้มีความสำคัญอยู่ไม่น้อยในภาวะการณ์ปัจจุบัน ค่าเงินบาทที่เคลื่อนไหวขึ้นลงตามกลไกตลาดนั้น สามารถก่อให้เกิดผลตอบแทนต่อนักลงทุนที่สูงเกินกว่าผลตอบแทนดอกเบี้ยมากมายนัก <br />เพื่อให้เกิดความชัดเจนในประเด็นวิเคราะห์นี้ จะขอยกตัวอย่างประกอบดังต่อไปนี้ สมมุติว่านักลงทุนต่างชาติมีเงินดอลล่าร์อยู่ 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นักลงทุนผู้นี้มีทางเลือกในการลงทุนสองทาง กล่าวคือ หนึ่ง ลงทุนในประเทศสหรัฐฯ และ สองเลือกลงทุนในประเทศไทย หากเลือกลงทุนในประเทศสหรัฐเขาจะได้ผลตอบแทนในอีกสิบสองเดือนข้างหน้า เป็นจำนวนเงิน 1 ล้าน 3 หมื่นเหรียญสหรัฐฯ(เนื่องจากสมมุติให้อัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ เท่ากับร้อยละ 3 ต่อปี) แต่หากเขาเลือกนำเงินนั้นมาลงทุนในประเทศไทย เขาจะต้องแลกเงิน 1 ล้านเหรียญฯของเขาเป็นเงินบาทก่อน เรากำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลล่าร์ กับบาทเท่ากับ 40 บาทต่อหนึ่งดอลล่าร์ ดังนั้นเขาจะสามารถแลกเป็นเงินบาทได้เป็นจำนวน 40 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนในประเทศไทยให้ผลตอบแทนในอีกสิบสองเดือนข้างหน้าเท่ากับ 40 ล้าน 9 แสนบาท (เพราะเราสมมุติให้อัตราดอกเบี้ยในประเทศไทยเท่ากับร้อยละ 2.25 ต่อปี)<br /><br />ตัวเลขผลตอบแทนในอีกสิบสองเดือนข้างหน้าจำนวน 1 ล้าน 3 หมื่นเหรียญสหรัฐฯ จากการลงทุนในประเทศสหรัฐฯ ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกับตัวเลขผลตอบแทนจากการลงทุนในประเทศไทย จำนวน 40 ล้าน 9 แสนบาท ได้ เพราะสกุลเงินของผลตอบแทนทั้งสองทางนั้นแตกต่างกัน นักลงทุนจำต้องแปลงเงินที่ได้จากการลงทุนในประเทศไทยให้เป็นเงินเหรียญสหรัฐฯ ก่อน แล้วจึงทำการเปรียบเทียบ โดยเราจะใช้อัตราแลกเปลี่ยนที่ตลาดการเงินคาดการณ์ในอีกสิบสองเดือนข้างหน้ามาทำการแปลงกระแสเงินบาทที่ได้จากการลงทุนมาเป็นเงินสกุลดอลล่าร์ฯ<br /><br />เป็นที่ทราบกันดีว่าระบบอัตราแลกเปลี่ยนในปัจจุบันนี้เป็นระบบลอยตัวแบบจัดการ หมายความว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยปล่อยให้กลไกตลาด หรืออุปสงค์อุปทานในตลาดปริวรรตเงินตรา เป็นตัวกำหนดค่าเงิน โดยธนาคารแห่งประเทศไทยยังคงอิสรภาพในการแทรกแซงตลาดปริวรรตไว้บ้าง เพื่อมิให้ค่าเงินมีความผันผวนเกินไป หรือเพื่อมิให้การเก็งกำไรค่าเงินส่งผลเสียต่อธุรกรรมทางเศรษฐกิจมากจนเกินไป<br />ดังนั้นค่าเงินในอนาคตไม่จำเป็นต้องเท่ากับค่าเงินในวันนี้ หากวันนี้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างบาทกับดอลล่าร์ อยู่ที่ สี่สิบบาท ต่อดอลล่าร์ ในอีกสิบสองเดือนข้างหน้า ค่าเงิน อาจเป็น สามสิบเก้า หรือ สี่สิบเอ็ด ก็เป็นได้<br /><br />หากค่าเงินแข็งค่าขึ้น และทำให้อัตราแลกเปลี่ยนในอีกสิบสองเดือนข้างหน้าเท่ากับ 39 บาทต่อดอลล่าร์ ผลตอบแทนจากการลงทุนในประเทศไทยจำนวน 40 ล้าน 9 แสนบาท จะมีมูลค่าเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐ เท่ากับ 1,048717.95 ดอลล่าร์ฯ ซึ่งมากกว่าผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนในประเทศสหรัฐฯ ดังนั้นหากนักลงทุนคาดการณ์ว่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้น การลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนสูงสุดสำหรับเขา จึงเป็นการเลือกลงทุนในประเทศไทย มิใช่ในตลาดเงินของประเทศสหรัฐฯที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า <br /><br />ตรงกันข้ามหากนักลงทุนคาดการณ์ว่าอัตราแลกเปลี่ยนในอีกสิบสองเดือนข้างหน้านั้นจะเป็นไปในทิศทางที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง เช่นเพิ่มจาก 40 บาทต่อหนึ่งดอลล่าร์สหรัฐฯ เป็น 41 บาทต่อหนึ่งดอลล่าร์แล้ว นักลงทุนจะพบว่าผลตอบแทนการลงทุนในประเทศไทยที่อยู่ในสกุลเงินบาทนั้น จะมีมูลค่าในรูปเงินเหรียญสหรัฐฯ เท่ากับ 997,560 เหรียญ ผลที่ตามมาก็คือนักลงทุนจะไม่เลือกนำเงินทุนเข้ามาแสวงหาผลตอบแทนในประเทศไทย<br />ตัวอย่างข้างต้นนี้ ชี้ให้เห็นถึงผลของอัตราดอกเบี้ย และการเปลี่ยนแปลงในค่าเงินที่มีต่อการตัดสินใจเคลื่อนย้ายแหล่งลงทุนของนักลงทุนข้ามชาติ ซึ่งในภาวะเศรษฐกิจโลกที่เงินทุนสามารถเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศได้อย่างเสรี (หรือต้นทุนในการทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับการปริวรรตเงินตราไม่สูงมากนัก) เราจะพบว่า พฤติกรรมที่แสวงหาผลตอบแทนการลงทุนสูงสุดของนักลงทุนข้ามชาตินี้ จะมีผลบังคับให้อัตราผลตอบแทนระหว่างตลาดการเงิน ที่ผนวกเอาผลของการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในอนาคตเข้ามาคิดรวมด้วยแล้ว มีค่าในดุลยภาพเท่ากันเสมอ ปรากฎการณ์ในเชิงทฤษฎีนี้มีชื่อเรียกว่า Interest Rate Parity นัยของแนวคิดทฤษฎีนี้คือ ความต่างระดับของอัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงิน ไม่จำเป็นต้องก่อให้เกิดปัญหาเงินทุนไหลออกจากประเทศ ตราบใดที่นักลงทุนต่างมีการคาดการณ์ว่า ค่าเงินของประเทศนั้นจะแข็งค่าขึ้นในอนาคต <br /><br />ในบางช่วงเวลา เราจะพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดการเงิน สอดคล้องกับแนวคิด Interest Rate Parity นี้ ดังเช่นในกรณีตลาดการเงินของประเทศไทย ภายหลังจากที่ตลาดการเงินได้รับทราบถึงการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ที่ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับร้อยละ 2.25 ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายในประเทศสหรัฐฯ เงินทุนก็มิได้ถูกโยกย้ายออกจากตลาดการเงินแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินไทยเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งขึ้น จากระดับที่ 39.66 บาทต่อดอลล่าร์เมื่อสิ้นเดือนเมษายน มาเป็น 39.66 บาทต่อดอลล่าร์ หรือแข็งค่าขึ้นร้อยละ 0.51 ปรากฎการณ์นี้สอดรับกับคำอธิบายที่อิงกับ Interest Rate Parity เป็นอย่างดี เพราะการที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นในเดือนเมษายนนี้อาจถือได้ว่าเป็นส่ิงที่สะท้อนได้ถึงทิศทางการปรับเพิ่มค่าของเงินบาทในอีกสิบสองเดือนข้างหน้า<br /><br />อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาในภายหลังนั้น กลับเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม เพราะค่าเงินบาทกลับอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้อัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงของธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 3 มิถุนายนที่ผ่านมานี้ อยู่ที่ 40.715 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ หากจะหาเหตุปัจจัยเชิงพื้นฐานที่มาอธิบายถึงค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าลงนั้น คงจะมีเพียง การขาดดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ ซึ่งในไตรมาสแรกของปีนี้มีมูลค่าการขาดดุลสูงที่สุดนับแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 เป็นต้นมา และด้วยกลไกการทำงานของระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัว ค่าเงินจะถูกปรับให้อ่อนตัวลงตามปัจจัยพื้นฐาน และเพื่อช่วยแก้ไขความไม่สมดุลในการค้าสินค้าและบริการระหว่างประเทศของไทยด้วย<br />เมื่อการกลับเป็นว่า ค่าเงินบาทอ่อนตัวลง ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดการเงินของประเทศก็อยู่ในระดับต่ำกว่าในประเทศสหรัฐฯอีกด้วย ดูเสมือนว่าตลาดการเงินไทยแทบไม่เหลือสิ่งจูงใจให้กับนักลงทุนข้ามชาติอีกแล้ว และคงจะถึงคราที่ นักลงทุนข้ามชาติจะพากันขนย้ายเงินทุนออกจากประเทศไทย สถานการณ์ปัจจุบันกำลังจะปิดทางเลือกอื่นของธนาคารแห่งประเทศไทย และเปิดช่องไว้ให้กับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียงช่องทางเดียว <br /><br />แม้ว่าภาวะเงินทุนไหลออกจะเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง แต่จวบจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีรายงานใดๆ บ่งบอกถึงภาวการณ์เช่นนั้น นอกจากนี้ แนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ หรือ Inflation Targeting ในปัจจุบันนี้ก็มิได้มีช่องให้ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น เพียงเพื่อยับยั้งเงินทุนมิให้เคลื่อนย้ายออกไปจากประเทศ เกณฑ์ในการดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อนั้นเปิดช่องไว้ให้เพียงเพื่อการสร้างเสถียรภาพในระดับราคา ด้วยการการควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ภายในช่วงที่เหมาะสมเท่านั้น หากธนาคารแห่งประเทศไทยกระทำการปรับอัตราดอกเบี้ยเพื่อการอื่น ย่อมจะเป็นผลเสียต่อความน่าเชื่อถือ (Credibility) ของธนาคารเอง และต่อประสิทธิภาพของการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคตมากกว่า<br /><br />หากธนาคารแห่งประเทศไทยตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงเวลานี้ ย่อมจะต้องมีสาเหตุมาจากความกังวลในเรื่องเสถียรภาพด้านราคา ที่เริ่มสั่นคลอนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าและบริการเริ่มทยอยปรับตัวสูงขึ้น ภายหลังการประกาศลอยตัวราคาน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศ แต่หากธนาคารแห่งประเทศไทยคาดการณ์ว่า ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้จะยังไม่มีผลทำให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน(Core Inflation) ในอนาคตทะลุขอบบนของเป้าหมายเงินเฟ้อนโยบายแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยย่อมจะไม่กระทำการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ชอบธรรมตามหลักการด้วยเช่นกัน<br /><br />ภาวการณ์ในตลาดการเงินที่ผันผวนนี้สามารถคลี่คลายไปได้เอง แม้ว่าจะไม่มีการปรับค่าอัตราดอกเบี้ย โดยการแก้ไขความไม่สมดุลที่เป็นอยู่นั้น ต้องเกิดจากทางด้านการแก้ไขดุลการค้า ซึ่งอาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งจึงจะเห็นผลในทางที่ดีขึ้น อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาถึงสาเหตุของการขาดดุลการค้าในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่า ต้นเหตุนั้นมาจากมูลค่าการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 53.4 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด(ตัวเลขสถิติการค้าของเดือนเมษายนที่ผ่านมา) เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐบาลได้พยายามซื้อเวลาของการปรับราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศให้สอดคล้องกับภาวะตลาดโลกเรื่อยมาตั้งแต่กลางปีที่แล้ว ความพยายามดังกล่าวส่งผลให้ราคาในประเทศต่ำกว่าความเป็นจริงซึ่งมิได้ส่งผลให้ผู้บริโภคตระหนักถึงความจำเป็นอันเร่งด่วนของการประหยัดการใช้พลังงาน ดังนั้นปริมาณการบริโภคนำ้มันในประเทศจึงมิได้ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซ้ำร้าย นโยบายการตรึงราคาน้ำมันนี่เองที่เป็นตัวการขัดขวางมิให้ตลาดการเงินปรับตัวเข้าสู่ดุลยภาพได้อย่างราบรื่น เพราะตัวเลขการขาดดุลการค้าที่ประกาศออกมา ก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในตลาดการเงินและตลาดปริวรรตเงินตรา จนทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้ว <br /><br />สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ตระหนักดีมาเป็นเวลายาวนาน เกี่ยวกับประสิทธิภาพของกลไกราคา ที่ช่วยจัดสรรทรัพยากรในสังคม กลับถูกละเลยโดยผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจ เพราะไม่มีมาตราการประหยัดพลังงานใดๆ จะมีประสิทธิภาพในการลดปริมาณการบริโภคและนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศได้ดีไปกว่าการปล่อยให้ราคาเป็นไปตามตลาดเสรี ความพยายามฝืนกฎทางเศรษฐศาสตร์นี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นโยบายเศรษฐกิจที่ผิดพลาด มิเพียงส่งผลเสียต่อภาคเศรษฐกิจแท้จริง (นั่นคือทำให้ดุลการค้าขาดดุล) แต่ยังส่งผลต่อภาระทางด้านการคลัง (หนี้สินของกองทุนน้ำมันที่จะต้องแปลงสภาพมาเป็นภาระภาษีของประชาชน) และผลต่อตลาดการเงิน ที่ทำให้อัตราดอกเบี้ย และอัตราแลกเปลี่ยนเบี่ยงเบนไปจากความสัมพันธ์ดุลยภาพในระยะยาวตามทฤษฎีThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1117058869294608682005-05-26T05:02:00.000+07:002005-05-26T05:07:49.296+07:00You've Got MEM!!!ผมไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ...<br /><br />เหมือนดู Star Wars หกภาคติดๆกันเลย<br /><br />45 นาทีแรก ฝ่ายมิลานได้ใจ<br /><br />45 นาทีหลังหงส์ตามมาเอาคืน ... จบลงด้วยการดวลจุดโทษ<br /><br />หลายคนมองว่าเกมนี้จะจบลงด้วยการดวลจุดโทษ แต่ไม่มีใครคิดเลยว่ามันจะมีสกอร์ตอนครึ่งแรก 3-0 และหลังจากนาทีที่ 60 3-3<br /><br />จริงๆแล้วจากนาทีที่ 54 ที่เจอราร์ดยิงตีไข่แตกถึงนาทีที่ 60 ที่อลองโซ่ตีเสมอ มันเพียงแค่ 6 นาทีเอง!<br /><br />ผมคงนอนไม่หลับแล้วตอนนี้....<br /><br />ขอใช้เวลานั่งทบทวนความทรงจำในคืนนี้อีกครั้งละกัน ..วู้ปี้ !!! <br /><br />อ้อ...ว่าแต่ว่า ไอ้ เม็มเนี่ยมันคืออะไรกันอ่ะThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com5tag:blogger.com,1999:blog-11496843.post-1116949680631067962005-05-24T21:44:00.000+07:002005-05-25T19:03:37.140+07:00ก่อนจะถึงปลายทาง...สถานีอิสตันบูลบันทึกการเดินทาง..เส้นทางสู่อิสตันบูล...<br /><br />เมื่อนึกย้อนกลับไปยังคืนแรกเริ่มของแคมเปญ...รอบคัดเลือกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก สิงหาคม 2004<br /><br />หงส์แดงได้สิทธิเข้าร่วมแข่งขันในปีนี้ จากมรดกของเชรา อูลลิเยร์ ที่ทิ้งไว้ให้ก่อนลาจากเก้าอี้ผู้จัดการทีมไป<br /><br />ตำแหน่งที่สี่ในพรีเมียร์ชิพช่วยให้หงส์แดงมีโอกาสลงเตะในรอบคัดเลือก ที่ปีนี้อุดมไปด้วยทีมระดับG7 ของวงการลูกหนังยุโรปมากเป็นประวัติการณ์<br /><br />ยักษ์ใหญ่อย่าง เรอัล มาดริด และ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นอีกสองทีมที่ระเห็จมาเตะรอบคัดเลือกเช่นเดียวกับหงส์แดง<br /><br />แฟนหงส์ส่วนใหญ่คงไม่นึกฝันว่าจากคืนวันนั้น พวกเราจะได้ร่วมถ่างตาอดนอน คอยให้กำลังใจเชียร์ทีมจนมาถึงคืนสุดท้ายของการชิงถ้วยใบนี้<br /><br />พวกเราเหมือนได้ร่วมขบวนรถไฟที่ออกเดินทางตั้งแต่สถานีแรก ..มาจนถึงคืนวันนี้ ที่ขบวนรถแห่งความฝันได้มาถึงสถานีปลายทางเสียที<br /><br />แต่การเดินทางของขบวนรถสายนี้ในตอนเริ่มแรกนั้น มิได้ถูกคาดหมายให้พาพวกเรามาจนถึงสถานีสุดท้าย พวกเราที่ร่วมขบวนมาเพียงแค่อยากให้รถขบวนนี้ไปให้ไกลที่สุดเท่านั้น ...แค่ไหนก็ได้<br /><br />เรารู้ว่าวันหนึ่งขบวนรถอาจหยุดเดินทางต่อที่สถานีใดสถานีหนึ่งก่อนถึงจุดหมายสุดท้าย ...เราเชื่อว่าเราจะยอมรับการสิ้นสุดการเดินทางเช่นนั้นได้ we just enjoy it while it lasts<br /><br />แต่เพียงแค่ขบวนรถเริ่มออกตัว ความฝันของพวกเราก็เริ่มออกอาการสะดุดแล้ว<br /><br />ในคืนแรกนั้น ..<br /><br />ราฟา เบนิเตซกับเกมแชมเปี้ยนส์ลีกแรกของเขากับลิเวอร์พูล ..เริ่มต้นด้วยการจับไมเคิล โอเว่น ศูนย์หน้าหมายเลขหนึ่งของทีมนั่งสำรอง!!<br /><br />เพียงแค่นี้ สื่อก็ประติดประต่อเรื่องราวได้แล้วว่า โอเว่นกำลังจะย้ายไปยังทีมที่ได้สิทธิเล่นในถ้วยยุโรปเช่นกัน และทีมนั้นไม่ต้องการให้โอเว่นติด คัพไท จากการที่เคยลงเล่นให้กับหงส์ก่อนจะย้ายทีม<br /><br />โชคดีที่คู่แข่งในรอบแรกนี้ไม่แข็งเท่าไหร่ หงส์จึงสามารถเก็บชัยชนะในการออกไปเยือนได้ด้วยสกอร์ 2-0 จากการยิงของเจอราร์ดทั้งสองลูก<br /><br />ภายหลังการแข่งขันนัดนั้นจบลง โอเว่นได้ย้ายไปร่วมทีมกับเพื่อนรักอย่างเดวิด เบ็คแฮม และกลายเป็นกาลาติกอสรายล่าสุด..<br /><br />โอเว่นท้ิงท้ายด้วยคำพูดที่เราจะจำไว้ไม่มีวันลืม .."ผมได้ย้ายมาเข้าร่วมทีมที่ดีที่สุดในโลก"<br /><br />หงส์แดงได้ผ่านเข้าเล่นในรอบแบ่งกลุ่ม แม้ว่าในนัดที่สองของรอบคัดเลือก หงส์จะกล้าๆ แพ้ทีมเยือนคาแอนฟิลด์ด้วยสกอร์ 1-0 ก็ตาม<br /><br />ใน Match Day 1 นั้น หงส์เปิดบ้านรับการมาเยือนของโมนาโก รองแชมป์เก่าจากฝรั่งเศส แม้ว่าโมนาโกทีมนี้จะขาดแกนหลักที่นำพาให้ทีมทะยานสู่นัดชิงในปีที่แล้วไปหลายคน แต่ทีมจากฝรั่งเศสนี้ก็ถูกยกให้เป็นตัวเต็งในกลุ่มนี้ที่จะผ่านเข้าสู่รอบต่อไป<br /><br />หงส์แดงเริ่มต้นอย่างน่ามหัศจรรย์ ..Who needs Micheal Owen? เรามีทั้งซิสเซ่ และบารอส<br /><br />แม้ว่าทั้งคู่จะมีชื่อเป็นผู้ทำประตูในนัดนี้ แต่ทว่าทั้งคู่มิได้เล่นร่วมกัน ราฟา จัดทีมให้เล่นในระบบหัวหอกตัวเดียว และเลือกจัดซิสเซ่ลงตัวจริง และให้โอกาสบารอสลงมาเล่นบ้างในช่วงหลังของเกม<br /><br />เกมในนัดนี้สะท้อนถึงอะไรหลายๆอย่างที่ตามมาในฤดูกาลนี้ของหงส์แดง<br /><br />ประการแรก หงส์แดงมีปัญหาแน่นอนเรื่องกองหน้า ทั้งซิสเซ่ และบารอส ไม่สามารถทดแทนความคมของโอเว่น ได้เลย ซึ่งในเวลาต่อมา ความพยายามที่จะนำทั้งสองมาเล่นด้วยกัน ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จดังเช่นการจับคู่ของโอเว่น เฮสกี้ หรือ โอเว่น ฟาวเลอร์ ในอดีต<br /><br />ประการที่สอง หงส์แดงสามารถเอาชนะได้ทุกทีมในเกมที่แอนฟิลด์ หงส์เล่นเกมรุกได้ดุดัน รวดเร็ว เพลินลูกตาอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในยุคของเชรา อุลลิเยร์ ราฟา ได้สร้างความหวังใหม่ให้กับแฟนๆ<br /><br />ประการที่สาม ฟอร์มในการเล่นเกมนอกบ้านห่วยแตกจริงๆ นัดเยือน โมนาโก และโอลิมเปียกอส ดูไม่ได้จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าฟอร์มนอกบ้านจะต่างจากที่เห็นในแอนฟิลด์ขนาดนี้ <br /><br />เมื่อย่างผ่าน Match Day 3 ผลการแข่งขันของหงส์มีทั้งชนะ เสมอ และแพ้ แฟนหงส์ต้องลุ้นหนักขึ้น เพราะผู้เล่นเริ่มผลัดกันเจ็บ เริ่มตั้งแต่คนที่เก่งที่สุดก่อน สตีเว่น เจอราร์ด กระดูกเท้าแตก ลงเล่นไม่ได้ในนัดสำคัญที่ต้องออกไปเยือน เดปอร์ติโว <br /><br />แต่ราฟาก็แสดงให้เห็นฝีมือในการชุบชีวิตนักเตะที่แฟนๆหลายคนคิดว่า หมดอนาคตลูกหนังไปแล้ว เพราะอุลลิเยร์จะปั้นเขาให้เป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟตัวกลางแทนที่จะใช้เขาในฐานะกองกลาง อิกอร์ บิสคาน ได้เกิดใหม่อีกครั้งในยุคของเอล ราฟา<br /><br />บิสคานโชว์ฟอร์มแจ่มจรัสในสเปน ทดแทนการขาดไปของเจอราร์ดได้อย่างไร้ที่ติ และช่วยให้หงส์เก็บสามแต้มสำคัญจากดินแดนกระทิงดุได้<br /><br />ฤดูกาล 2004/2005 ดำเนินไปได้หนึ่งในสี่ หงส์แดงเริ่มส่อแววต้องคำสาบ ผู้เล่นผลัดกันเจ็ํบ บางรายหนักหนาถึงขึ้นบอกศาลากับการแข่งขันทุกรายการในฤดูกาลนี้ได้เลย กล่าวได้ว่า ตลอดเส้นทางสู่อิสตันบูลนี้ ราฟาเอล เบนิเตซไม่เคยสามารถเรียกใช้ผู้เล่นสิบเอ็ดคนที่ดีที่สุดของสโมสรนี้ได้เลย <br /><br />ในนัดสุดท้ายของเกมรอบแบ่งกลุ่มซึ่งจะชี้ชะตาของทีมว่าจะเดินตอไปในเส้นทางนี้ หรือจะเปลี่ยนเส้นทางไปสายยูฟ่าคัพนั้น หงส์แดงมีโอกาสเล่นในบ้านของตน โดยมีทีมนำตารางในขณะนั้นมาเยือน โอลิมเปียกอสสามารถแพ้หงส์ได้ หากโมนาโกพ่ายเดปอติโว ในสเปน เงื่อนไขของการเข้ารอบสำหรับหงส์แดงก็คือ ต้องชนะโอลิมเปียกอสสถานเดียว หากไม่อยากทำเรื่องให้ยุ่งยาก ควรจะชนะโดยไม่เสียประตู แต่หากโอลิมเปียกอสยิงได้หนึ่ง หงส์จะต้องชนะในสกอร์ 3-1 เท่านั้นจึงจะเข้ารอบได้<br /><br />โอลิมเปียกอสออกนำก่อน และเมื่อจบครึ่งแรกสกอร์อยู่ที่ 1-0 หงส์มีเวลา 45 นาทีในครึ่งหลังที่จะพลิกสถานการณ์ ยิงรวดเดียวสามประตูเพื่อเข้ารอบ<br /><br />ไม่ง่ายเลยครับ ผมแทบจะโยนความหวังทิ้ง และกระโดดลงจากขบวนรถก่อนถึงสถานีด้วยซ้ำ<br /><br />แต่เบนิเตซทำได้ครับ เขาส่งปงโกลล์ ลงมาในครึ่งหลัง และยิงประตูตีเสมอได้ในช่วงนาทีแรกๆของครึ่งหลัง หงส์มีเวลาเกือบสี่สิบนาทีที่จะยิงอีกสองประตู เฉลี่ยแล้วหนึ่งประตูในทุกๆยี่สิบนาที ...ไม่ยากเท่าไหร่<br /><br />แต่เวลากลับเดินไปเรื่อยๆโดยไม่มีสกอร์เกิดขึ้น..<br /><br />เจ้าหนูเมลเลอร์ ถูกส่งลงมาแทนบารอส และก็เป็นเมลเลอร์ที่ยิงจุดประกายความหวังขึ้นมาเมื่อราวๆอีกยี่สิบนาทีจะหมดเวลา<br /><br />บรรยากาศสุดวิเศษของราตรียุโรปได้ระเบิดขึ้นครั้งแรก ในทันทีที่เจอราร์ดวอลเล่ย์ลูกฮามิช ตีนระเบิด ยัดลูกหนังเข้าสู่ก้นตาข่ายเป็นประตูนำหงส์เข้ารอบ<br /><br />อารมณ์นั้นสุดบรรยายจริงๆ ผมแหกปากร้องด้วยความยินดี ลืมสังขารกระโดดตัวลอย สุดยอดครับ ..สุดยอด<br /><br />สมกับที่ได้ลุ้นมาจนเกือบจบเกม หงส์เขี่ยโอลิมเปียกอสไปเล่นถ้วยยูฟ่าคัพ ด้วยลูกยิงลูกนั้นของเจอราร์ด..<br /><br />หงส์ผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปได้ แต่เส้นทางต่อไปนี้จะเป็นรอบน็อคเอ้าท์ หงส์แดงจำต้องเล่นในรอบนี้โดยไร้ ชาบี้ อลองโซ่มิดฟิลด์เชิงสูง ผู้มีลีลาบงการเกมประหนึ่งวาทยากรที่ควบคุมวงออเคสตร้า และเหลือเพียงมิลาน บารอสเท่านั้นที่เป็นกองหน้าอาชีพ รายชื่อนักเตะที่ไม่สามารถลงช่วยทีมได้เริ่มพอกพูนเป็นดินพอกหางหมู<br /><br />หงส์แดงจับติ้วเจอกับทีมห้างขายยาจากเยอรมัน ซึ่งนับเป็นโชคอย่างมหันต์ หากจะเทียบกับชะตากรรมของทีมร่วมชาติ อย่างผีแดง ที่ประกบคู่กับผีอิตาลี เจ้าบุญทุ่มแห่งลอนดอนจับคู่เจอเจ้าบุญทุ่มสเปญ และปืนอังกฤษชนกับเสือใต้เยอรมัน<br /><br />แต่กระนั้นก็ดี ไม่มีใครคาดคิดว่าหงส์จะเก็บชัยชนะได้ทั้งนัดเหย้าและนัดเยือน การบุกไปถล่มเลเวอร์คูเซ่นด้วยสกอร์ถึง 3-1 นี้นอกเหนือความคาดหมายของเซียนทุกสำนัก เพราะถิ่นไบอารีน่าของเลเวอร์คูเซ่นนี้เป็นสุสานฝังเหล่ากาลาติกอสชุดขาวที่โดนยำเละไร้รูปบอลใน Match Day 1 <br /><br />เส้นทางในรอบต่อไปเริ่มหินขึ้นเรื่อยๆ เริ่มต้นจากตัวเต็งจากอิตาลี ยูเวนตุส ที่หวนโคจรมารำลึกความหลังเมื่อยี่สิบปีก่อนอีกครั้ง และจากนั้น เชลซี เต็งหนึ่งของหลายสำนัก<br /><br />สองทีมเต็งถูกพลังคลื่นเสียงของเหล่าเดอะค็อปสยบไร้แรงต้าน หงส์แดงสำเร็จโทษผู้มาเยือนในสองเกมเหย้า ด้วยประตูชัยสุดสวยของการ์เซียในนัดดับยูเว่ และประตูชัยที่บอลไม่ได้ข้ามเส้นโกล์เชลซี ของการ์เซียอีกเช่นกัน<br /><br />ขบวนรถสายความฝันของหงส์แดงฝ่าอุปสรรคพากองเชียร์มาถึงสถานีสุดท้าย อิสตันบูลในคืนวันนี้ พร้อมกับความรู้สึกที่เรียกว่า On the top of the world<br /><br />ด้วยทัศนคติ Nothing to Lose อะไรก็เกิดขึ้นได้<br /><br />แม้ดูจาก team sheet มิลานจะเหนือกว่า...<br /><br />แต่หากนักเตะหงส์เล่นได้เหมือน45 นาทีแรกของนัดที่สยบยูเว่ ในแอนฟิลด์...แฟนหงส์มีสิทธิเฮ<br /><br />หงส์แดงอาจมีโชคมากกว่าหลายๆทีม จนสามารถหลุดเข้ามาชิงในคืนนี้ได้<br /><br />แต่หากคืนนี้เกมจบลงด้วยชัยชนะของหงส์แดงแล้วไซร้ คำครหาเหล่านั้นจะไร้ความหมายในทันที<br /><br />เหล่ากองเชียร์หงส์แดงทั้งขาประจำ และขาจร คงไม่สนใจนักหรอก ว่าชนะด้วยดวง หรือฝีมือ <br /><br />ขอแค่ชัยชนะ No question asked แล้วเม็มจะตามมาเองThe Corgimanhttp://www.blogger.com/profile/14683842775435270141noreply@blogger.com1