Thursday, April 07, 2005

ค่ำคืนที่เชื่อมต่ออดีต ปัจจุบัน และ...

เมื่อหงส์แดงต้องจับติ้วมาเจอกับม้าลายในรอบสิบหกทีมแชมเปี้ยนส์ลีก เหล่าแฟนบอลที่มีอายุยืนยาวพอที่จะระลึกได้ถึงความหลังอันยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูลคงต่างคิดกันว่า โชคชะตาฟ้าลิขิตแท้ๆ

เพราะเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้น ทั้งสองทีมได้โคจรมาพบกันในรอบชิงบอลถ้วยใหญ่ของยุโรป และความคาดหมายต่อเกมนัดชิงนี้สูงมากจริงๆ ด้วยเหตุที่หงส์แดงในยุคนั้นคือเจ้ายุโรป ในขณะที่ยูเวนตุสคือผู้ที่กำลังก้าวขึ้นมาเบียดแย่งตำแหน่งราชันแห่งยุโรป จะว่าไปแล้วยูเว่ในยุคนั้นเหนือกว่าเหล่ากาลาติกอสแห่งเมืองมาดริดใน พ.ศ.นี้มาก เพราะแกนของทีมนั้นคือเหล่านักเตะทีมชาติอิตาลี ที่เพิ่งได้แชมป์โลกมาหมาดๆ โดยที่สองนักเตะต่างชาติประจำทีมนั้น(ในยุคนั้นแต่ละทีมจะมีนักเตะต่างชาติได้แค่สองคนเท่านั้น) นโปเลียนลูกหนัง มิเชล พลาตินี่ หนึ่งเดียวที่ครองตำแหน่งนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งยุโรปสามปีซ้อน และ ซบิกนิว โบเนี็ยก กองหน้าทีมชาติโปแลนด์ หนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดของทัวนาเม้นต์บอลโลก 1982

ก่อนการแข่งนัดชิงนั้น ยูเว่ ไม่ได้สัมผัสแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพมานานมากแล้ว (หากผมจำไม่ผิด ในปีก่อนหน้านั้น ยูเว่ได้เข้าชิง และก็เป็นทีมเต็งที่จะคว้าถ้วย แต่กลับต้องพ่ายให้กับลูกยิงมหัศจรรย์ของ เฟลิกซ์ มากัธ แห่งทีมฮัมบูร์ก ซึ่งขณะนี้ เป็น เทรนเนอร์ของบาเยิร์นมิวนิค นี่แหละ) ผิดกับหงส์แดงที่เข้าชิงถึงสี่ครั้งในช่วงปลายทศวรรษที่เจ็ดสิบ ถึงกลางทศวรรษที่แปดสิบ และคว้าแชมป์ได้ในทุกครั้งที่เข้าชิง ณ เวลานั้น หงส์แดงมีสถิติครองแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพมากเป็นอันดับสองรองจาก เรอัล มาดริดเท่านั้น (ขณะนั้น ห่างกันแค่สองแชมป์)

แต่แล้วเหตุการจราจล ก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น ได้ทำให้การแข่งขันนัดชิงนี้ถูกจดจำในฐานะโศกนาฏกรรมครั้งสำคัญของฟุตบอลยุโรป และเป็นจุดเปลี่ยนอนาคตของสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลอีกด้วย

ในอดีตนั้น ว่ากันว่าลิเวอร์พูลเหนือกว่าสโมสรอื่นๆในเกาะอังกฤษ เพราะลิเวอร์พูลได้มีโอกาสลงฟาดแข้งกับทีมในภาคพื้ันยุโรปมากกว่าทีมอื่นๆ หงส์แดงนำประสบการณ์ที่ได้จากบอลถ้วยนี้ มาใช้ประโยชน์ในการชิงชัยฟุตบอลลีกภายในประเทศ โดยแนวทางการเล่นของหงส์แดงในยุคนั้น จะเล่นบอลบนพื้นเป็นหลัก ไม่ใช้ลูกโยนจากกราบทั้งสอง (สังเกตุได้ว่าในประวัิตศาสตร์ของทีมหงส์แดง จะมีเพียงสตีฟ ไฮเวย์เท่านั้นที่เป็นนักเตะในตำแหน่งปีก ที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นนักเตะระดับตำนาน) การเข้าทำจะเน้นความแน่่นอน ส่งบอลจากเท้าถึงเท้า ซึ่งในยุคนั้นไม่มีใครในเกาะอังกฤษเล่นแบบนี้เลย

เมื่อหงส์โดนแบนจากการแข่งขันฟุตบอลยุโรปทุกถ้วย ทำให้หงส์แดงขาดแคลนการปะทะสังสรรค์กับทีมระดับแนวหน้าของยุโรปเป็นเวลายาวนาน จนทำให้หงส์แดงถูกทีมคู่แค้นอย่างแมนฯยูไนเต็ดแซงหน้าขึ้นมาเป็นทีมอันดับหนึ่งของเกาะอังกฤษในช่วงทศวรรษที่เก้าสิบนี่เอง

ความสำเร็จที่ห่างเหินอ้อมอกของหงส์แดง กลับวิ่งวนเข้าออกโรงละครแห่งความฝันอย่างไม่ว่างเว้น ไม่เพียงแต่ถ้วยรางวัลเท่านั้นที่แมนฯยูไนเต็ดมีมากกว่าลิเวอร์พูลในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ทั้งเงินทองและความนิยมที่หลั่งไหลตามมา ทำให้ปีศาจแดงมิใช่เป็นเพียงทีมที่ใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษ แต่ได้กลายเป็นแบรนด์ดังระดับโลกไปเลย สำหรับแฟนหงส์แล้ว ไม่มีอะไรที่เจ็บปวดมากไปกว่านี้อีกแล้ว

แต่ในค่ำคืนนี้ เมื่อหงส์แดงก้าวลงสนามแอนฟิลด์เพื่อชิงตั๋วผ่านเข้ารอบตัดเชือกกับยูเวนตุส แฟนหงส์ต่างรู้สึกได้ถึงความภาคภูมิใจที่หวนคืนกลับมาอีกครั้ง เพราะเมื่อมาถึงรอบนี้แล้ว มีทีมจากเกาะอังกฤษหลงเหลืออยู่เพียงสองทีมเท่านั้น และแมนฯยูไนเต็ดก็ไม่ใช่หนึ่งในสองทีมนั้นด้วย

เกมการแข่งขันกับยูเวนตุสในคืนนี้มิใช่การเตะบอลรำลึกถึงอดีต แต่เป็นการต่อสู้เพื่อช่วงเวลาแห่งปัจจุบัน และอนาคต เพราะนัดนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่แอนฟิลด์จะถูกใช้เป็นสังเวียนฟาดแข้งของทีมหงส์แดงในถ้วยนี้ก็ได้ สิ่งเดียวที่จะช่วยยืดเส้นทางของลิเวอร์พูลในทัวร์นาเม้นท์นี้ก็คือ ชัยชนะเหนือยูเว่ ไม่ว่าจะด้วยสกอร์เท่าใดก็ตาม

เมื่อสิ้นเสียงนกหวีดยาวของกรรมการ ภารกิจของเหล่านักเตะในชุดแดงบรรลุผลตามที่ได้ตั้งความหวังไว้ ชัยชนะในสกอร์ สองต่อหนึ่ง อาจดูน่าผิดหวังหากมองจากสายตาผู้ชมภายหลังเกมจบลง แต่หากถามความเห็นก่อนการแข่งขันแล้ว ทุกคนต่างไม่รังเกียจที่จะชนะทีมเต็งอย่างยูเว่ด้วยสกอร์นี้หรอก

ทำไมจะไม่พอใจด้วยล่ะครับ ทีมอย่างบาเยิร์นมิวนิคยังไม่สามารถยิงประตูยุูเว่ได้เลยในการพบกันทั้งสองนัดในรอบแบ่งกลุ่ม อย่าว่าแต่เอาชนะเลย หรือแม้แต่เรอัล มาดริดที่ซื้อศูนย์หน้าลิเวอร์พูลไปนั่งสำรองก็ยังไม่สามารถยิงยูเว่ได้เกินหนึ่งประตูเลย ยิ่งหากเรามองทรัพยากรที่เบนิเตซมีในเวลานี้ด้วยแล้ว สกอร์นี้ถือว่าไม่น่าเกลียดเลยแม้แต่น้อย

หากเกมนี้เล่นเพียงสิี่สิบห้านาทีแรก แฟนหงส์คงฝันข้ามช็อตไปถึงนัดชิงแล้ว เพราะไม่เพียงแต่สกอร์ของเกมจะไม่เสียอะเวย์โกล์แล้ว ฟอร์มการเล่นของหงส์แดงยังเปล่งประกายเจิดจรัสที่สุด นับตั้งแต่เบนิเตซได้คุมทีมมาเลย ใครที่ได้ชมการถ่ายทอดสดคงตื่นตาตื่นใจไปกับฟอร์มการเล่นของลิเวอร์พูลเหมือนผม เพราะนักเตะลิเวอร์พูลทุกคนทุ่มเทเล่นสุดหัวใจ บีบพื้นที่ไม่ให้นักเตะยูเว่ตั้งเกมได้ ไล่บี้แย่งบอลกันตั้งแต่หน้ายันหลัง เกมรุกมีความต่อเนื่องและกดดัน แม้แต่บ.บู๋ ยังเอ่ยปากเลยว่า ไม่เคยเห็นบุฟฟ่อนหน้าถอดสีอย่างนี้มาก่อน

แต่เกมฟุตบอลมีสองครึ่งครับ และฟอร์มการเล่นในครึ่งแรกนั้น ถูกพักเก็บไว้ในห้องแต่งตัวนักเตะ ราฟา เบนิเตซงัดฟอร์มการเล่นแบบในครึ่งหลังของเกมนัดชิงคาร์ลิ่ง คัพกับเชลซีออกมาอวดพวกเราอีกครั้ง

ความดุดันในครึ่งแรกหายไปสิ้น หากครึ่งแรกหงส์แดงทำให้แฟนบอลสุขสมถึงขั้นสวรรค์ชั้นเจ็ด ในครึ่งหลังนั้นก็ไม่ต่างจากการพาแฟนบอลดิ่งลงนรกชั้นล่างสุดเลย เพราะนักเตะเล่นอุดเหมือนรอเวลาเสียประตู คราวนี้ไม่ใช่กัปตันทีมเจอร์ราดที่พลาดทำเข้าประตูตัวเอง แต่เป็นนายทวารวัยกระทง ผู้เคยได้รับโอกาสให้เล่นให้กับต้นสังกัดเดิมที่อยู่ในลีกแชมเปี้ยนชิพ(ดิวิชั่นหนึ่งเดิม) เพียงสามนัด และได้รับโอกาสให้เผ้าเสาเป็นตัวจริงเพียงสองนัดก่อนหน้านี้เท่านั้น เจ้าหนูวัยสิบเจ็ดที่มีชื่อหน้าเหมือนซุปไก่สกัด (สก็อต) และมีนามสกุลเป็นถุงเท้านักเรียน(คาร์สัน) รับลูกโหม่งที่ไม่หวังผลของคันนาวาโร่ไม่ได้ และช่วยให้ยูเว่ได้อะเวย์ โกล์อันมีค่าติดมือกลับตูรินไป

ประตูนี้เองทำให้ยูเว่ถือไพ่ที่เหนือกว่า ในการพบกันอีกครั้งของทั้งสองทีมในอีกหนึ่งสัปดาห์ข้างหน้า การเล่นในถิ่นเดลเล่ อัลปิในทัวร์นาเม้นท์นี้นั้น ยูเว่สยบทีมระดับแนวหน้าของยุโรปมาหลายทีมแล้ว แฟนๆของทีมม้าลายคงเชื่อมั่นในทีมรักว่า หงส์แดงคงไม่แคล้วเป็นเหยื่อรายต่อไปอย่างแน่แท้

แต่ในหัวใจของแฟนหงส์ทุกคนกลับไม่คิดเช่นนั้น เพราะฟอร์มการเล่นในครึ่งแรกของค่ำคืนนี้ ทำให้ทุกคนเริ่มเชื่อมั่นในศักยภาพของการเล่นเกมรุกมากยิ่งขึ้น ทุกคนได้เห็นแล้วว่า หงส์แดงสามารถทำได้ ทั้งๆที่ มี เลอ ตัลเล็ก บิสคาน ทราโอเร่ และคาร์สันอยู่ในสิบเอ็ดคนแรก ในเมื่อหงส์แดงสามารถบุกไปเผาไบ อารีน่าในรอบก่อนหน้านี้ได้ ทำไมจะเผาเดลเล่ อัลปิบ้างไม่ได้ล่ะครับ

2 Comments:

At 3:17 PM , Blogger pin poramet said...

ผมชอบอาจารย์เขียนวิจารณ์บอลนะ

จริงๆ ฤดูกาลหน้า ถ้าอาจารย์เขียนถึงหงส์ได้ทุกเกม(หรือเกือบทุกเกม) ด้วยอารมณ์และลีลาประมาณนี้นะ และด้วยคุณภาพระดับนี้

ผมว่ารวมเล่มได้นะ เป็นบทบันทึกทั้งฤดูกาลของหงส์ แฟนหงส์ซื้อแน่นอน ใส่ภาพ ทำรูปเล่มสวยๆ

ผมจะเป็น บก. ให้เอง และหาที่พิมพ์ให้ด้วย เชื่อมั่นว่าหาไม่ยาก

สนมั้ยครับ

 
At 11:54 PM , Blogger The Corgiman said...

ผมกลัวจะหมดมู้ดแบบคืนนี้ แล้วพาลเซ็งไปเป็นอาทิตย์แบบคืนนี้น่ะสิ

They gave Stuart Pearce the first victory as a manager. Damn!

 

Post a Comment

Subscribe to Post Comments [Atom]

<< Home