Merseyside Derby
สี่ทุ่มสามสิบเก้าบางท่านอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ฟุตบอลเป็นเกมที่มีสองครึ่งเวลา หากฟังแล้วตีความตามตัวอักษรอาจพาลด่าคนที่พูดว่า เฉิ่มเสียเหลือเกิน ใครๆที่ดูฟุตบอลเป็นต่างรู้กันมานานแล้ว ที่จริงคำกล่าวนี้มีความหมายว่า เราไม่อาจสรุปผลการแข่งขันได้จากการแข่งเพียงครึ่งเดียว เพราะหลายครั้งทีมที่เล่นดีดุจเทวดาในครึ่งแรก (ยกตัวอย่างเช่น สเปอร์ นำแมนฯ ยูไนเต็ด ในครึ่งแรก สามศูนย์) อาจกลับมาเล่นครึ่งหลังอย่างห่วยแตก หรือทีมที่เป็นรองอย่างน่าเกลียดในครึ่งแรกอาจกลับมาชนะในครึ่งหลังได้ (ตัวอย่างต่อเนื่อง เกมในวงเล็บแรก จบลงด้วยชัยชนะของผีแดง ห้าต่อสาม) คำกล่าวนี้สะท้อนถึงความไม่แน่นอนในเกมฟุตบอล ที่ทำให้เราไม่อาจด่วนสรุปผลการแข่งขันได้ก่อนเกมจะจบลงเลย
แต่สำหรับหงส์แดงในปีนี้แล้ว ไม่เพียงแต่การแข่งขันในครึ่งหลังที่อาจพลิกกลับตาลปัตรจากเกมครึ่งแรกได้เท่านั้น แต่ทีมที่ลงแข่งในเกมหนึ่งนั้นอาจเล่นต่างจากเกมก่อนหน้าชนิดสวรรค์กับนรก จนเหล่าเซียนบอลหมดปัญหาจะทำนายผลของเกมถัดไปได้เลย หรือถ้าจะพูดกับแบบเพื่อนฝูงคนกันเอง ก็คงประมาณว่า ...ทีมแม่งไม่มีความแน่นอนสม่ำเสมอในฟอร์มการเล่นเลย ... Shit!
เมื่อกลางสัปดาห์ที่แล้ว หงส์แดงได้ทดสอบความภักดีของแฟนๆ ว่าจะเดินเคียงข้างกันต่อไปหรือไม่ โดยเล่นแบบเสียราคาสิบหกทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปี้ยนลีกส์ ในเกมที่สมควรจะกอบโกยคะแนน เพิ่อแย่งอันดับสี่จากทีมร่วมเมือง ศรัทธาของสาวกหงส์หลายคนคงถูกทุบทำลายไปพร้อมๆกับความมั่นใจที่เพิ่มมากขึ้นว่า ปีหน้าเราจะได้ร่วมแย่งชิงถ้วยยูฟ่าคัพกับเหล่าทีมเกรดบีในยุโรป แต่แล้วในเกมคืนวันอาทิตย์ ..หงส์แดง .อีกทีมหนึ่ง. ก็มาลงเซิ้งแข้งกับเอเวอร์ตั้น ...ทีมซึ่งน้อยครั้งในเดินเข้าสู่การฟาดแข้งเกมดาร์บี้แมทซ์ในฐานะทีมที่มีตำแหน่งในลีกสูงกว่าหงส์แดง...
หงส์แดงทีมนี้เล่นได้อย่างรู้หน้าที่ รู้บทบาท และรู้เป้าหมายดี
ในฐานะเจ้าบ้าน หงส์แดงต้อนรับอาคันตุกะอย่างให้เกียรติ ไม่ต่างกับคราวที่อาร์เซน่อลมาเยือนถิ่นแอนฟิลด์เมื่อต้นฤดูกาลแต่อย่างใด เกมรับรัดกุม และสอดรับกับเกมรุกเป็นอย่างดี ทำให้สามารถกดดันเอเวอร์ตั้นได้อย่างต่อเนื่อง ในเกมนี้ แฟนหงส์ได้เห็นการเล่นจังหวะเดียว ที่ให้แล้วไป มีการส่งบอลและเคลื่อนตัวเข้าไปรับลูกผ่านที่ใช้ประโยชน์จากตะเข็บกองหลังของเอเวอร์ตั้น ทำให้แบ็คทั้งสองขึ้นมาเติม และสามารถเปิดบอลจากเส้นหลังได้หลายครั้ง หลายคนยกย่องฟอร์มการเล่นในครึ่งแรกว่า เป็นฟอร์มที่ดีที่สุดในฤดูกาลเลย
หากจะพยายามอธิบายว่าเหตุใดทีมฟุตบอลที่ใช้ผู้เล่นแทบจะยกชุดจากเมื่อกลางสัปดาห์ กลับทำผลงานได้สุดยอดสดใสเช่นนี้ ผมกลัวว่าเราคงไม่สามารถไปค้นหาได้ เพราะถ้ามีคำอธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ราฟาเอล เบนิเตซควรจะเป็นคนแรกที่ค้นพบ และนำมันไปปรับปรุงให้ทีมสามารถแสดงผลงานที่โดดเด่นเช่นนี้ในทุกๆเกมที่ลงเตะ
ผมเชื่อว่าบรรยากาศการแข่งขันน่าจะมีส่วน เพราะคุณไม่จำเป็นต้องกระตุ้นหรือปลุกเร้าตัวเองเลยในสถานการณ์เช่นนี้ ซึ่งมันคงต่างจากบรรยากาศในเซนต์แอนดรูว์ หรือ เซ็นต์แมรี่ โดยสิ้นเชิง แต่หากเป็นด้วยเหตุปัจจัยนี้จริงแล้ว น่าเป็นห่วงหงส์ทีมนี้จริงๆ เพราะนักฟุตบอลอาชีพไม่ควรทำตัวเป็นศิลปินที่ต้องมีการสร้างอารมณ์ สร้างบรรยากาศ ปลุกเร้าฟอร์มการเล่น ตามหลักแล้วนักฟุตบอลควรประพฤติตนเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่ ทำงานเต็มที่สนองกับค่าจ้างต่อสัปดาห์ที่สูงกว่าค่าจ้างเฉลี่ยของปุถุชนทั่วไป นักฟุตบอลอาชีพต้องเล่นด้วยฟอร์มอันสุดยอดแม้ว่าจะต้องลงแข่งในสนามที่ปราศจากคนดูก็ตาม โอเค .. ผมอาจคาดหวังจากมนุษย์มากไปก็ได้ เพราะมนุษย์ไม่ใช่ economic agent ในแบบจำลอง แต่อย่างน้อยที่สุด เหล่านักเตะในชุดแดง พวกคุณไม่ควรเล่นด้วยฟอร์มที่แกว่งขนาดนี้นะครับ
ผมเชื่อว่าบุคคลแห่งเกม ในนัดดาร์บีแมทช์คืนวันอาทิตย์นี้คงหนีไม่พ้น มิลาน ยารอส เพราะบารอสมีโอกาสหลุดเดี่ยวเข้าทำประตูถึงสองครั้ง แต่กลับพลาดอย่างน่าเสียดาย แฟนหงส์หลายคนคงนึกภาพว่า ถ้าหากเป็นเจ้านักเตะท้องถิ่นที่พลัดไปนั่งสำรองในถิ่นเบอร์นาบิวคนนั้นแล้ว หงส์คงได้ประตูอย่างน้อยหนึ่งลูกในสองโอกาสนั้นแน่ นักวิจารณ์หลายคนมองว่า บารอสมักเอาแต่ก้มหน้าเลี้ยงบอล โดยไม่ค่อยมองว่า รอบๆตัวเค้ามีใครรอบอลอยู่บ้าง และหลายๆครั้งการไม่เงยหน้าขึ้นมามอง ทำให้ทีมเสียโอกาสทำประตูไป สองลูกที่พลาดนั้นเห็นได้ชัดว่าบารอสรีบที่จะเลี้ยงจี้เข้าหาประตู เขาเร่งฝีเท้าเพื่อหนีกองหลังของเอเวอร์ตั้น และจังหวะที่ทำให้เขาเสียโอกาสคือจังหวะที่เขาเงยหน้าขึ้นมา ครั้งแรกเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาหาช่องยิ่ง ลูกบอลกลับเด้งผิดเหลียมขึ้นมาพัวพันกับขาของเขา ทำให้เสียจังหวะยิง และถูกกองหลังตามมาเคลียร์ได้ ในโอกาสครั้งที่สองเขาเงยหน้าขึ้นมาในระยะที่ทางเลือกในการยิงประตู เหลือเพียงการหลอกผู้รักษาประตูให้ล้มผิดทาง แล้วยิงไปที่ปากประตูว่างๆเท่านั้น ซึ่งเขาทำสำเร็จในขั้นตอนแรก แต่พลาดที่ไม่สามารถยิงผ่านผุ้รักษาประตูที่นอนล้มอยู่กับพื้นได้ ผมลองนึกภาพดูว่า ถ้าเป็นโอเว่น จะเกิดอะไรขึ้น ผมคิดว่าโอเว่นคงเลือกมุมยิงไว้ก่อนแล้ว เมื่อเขาเลี้ยงจี้เข้าหาประตู ซึ่งตรงนี้เกิดจากวิธีการเลี้ยงบอลของโอเว่นที่ต่างจากบารอส และโอเว่นมักยิงในระยะที่ผู้รักษาประตูไม่สามารถบังมุมไกลได้มิด
โอกาสทองที่พลาดไปยังไม่สร้างความรู้สึกเสียหายในใจแฟนหงส์เท่ากับการที่เขาทำฟาล์วอย่างน่าเกลียด(ไม่อยากใช้คำว่ารุนแรง เพราะอลัน สตัปส์ยังคงวิ่งเล่นต่อได้ หลังจากที่บารอสโดนไล่ออก) เพราะขณะนั้นหงส์มิได้เล่นกับเอเวอร์ตั้นแบบ สิบเอ็ดต่อสิบเอ็ด เนื่องจากมีสองนักเตะที่ไม่สมบูรณ์ครบร้อย ฝืนเล่นอยู่ในสนาม เมื่อบารอสถูกไล่ออก เพื่อนที่เหลือจึงต้องรับภาระที่หนักขึ้นในการรักษาสกอร์นำ โชคดีที่เอเวอร์ตั้นไม่คมเหมือนแมนฯยู หรืออาร์เซน่อล และไม่ได้มีกุนซือที่รอบจัดอย่างเฮีย เครียด ไม่งั้นบารอสคงต้องโดนก่นด่าหนักกว่านี้แน่
ช่องว่างที่ลดลงจากเจ็ด เหลือสี่แต้มนั้นอาจดูไม่ห่างไกลเมื่อเทียบกับจำนวนเกมที่เหลือ แต่ปัญหาของหงส์แดงคือ จะเอาอะไรมายิงคู่แข่งในสามนัด ที่บารอสถูกกัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเกมที่โบลตั้นจะมาเยือนในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้า ทำไมโปรแกรมต้องจัดให้พบกับทีมที่กำลังฟอร์มดีต่อเนื่องจนมีลุ้นไปแชมเปี้ยนส์ลีกกับเขาเหมือนกัน มิหนำซ้ำยังเป็นทีมที่หยิบยืมดิยุฟไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ (ซึ่งดิยุฟคงต้องการพิสูจน์คุณค่าของตัวเขาด้วยการลงมายิงหงส์ในแอนฟิลด์ด้วย) ไม่ว่าวันนั้นหงส์แดงจะให้ใครยืนศูนย์หน้า เกมกับโบลตั้นอาจจะเป็นเกมที่มีความสำคัญต่อฤดูกาลนี้ทั้งหมดเลยก็ว่าได้ และผลการแข่งขันที่ออกมาอาจทำให้ชัยชนะในเกมดาร์บี้ แมทช์นี้หมดความหมายไปเลยได้เช่นกัน
หงส์แดงยังเป็นทีมที่ชวนติดตามที่สุดเหมือนเดิม ไม่ต่างไปจากกล่องช็อคโกแล็ตของฟอร์เรส กัมป์ คุณไม่มีวันรู้หรอกว่า หงส์แดงทีมไหนจะลงเล่นในเกมถัดไป
0 Comments:
Post a Comment
Subscribe to Post Comments [Atom]
<< Home